ปากกาขนนก / สกุล บุณยทัต

“ที่สุด...ก็มาถึงหนังสือเล่มสุดท้ายแห่งปีที่ผมต้องเขียนถึงในปีนี้..ผมตัดสินใจเลือก “ปีศาจตัวนั้นคือฉันเอง” (A Guide to Fight the Demons in My Heart) เป็นหนังสือส่งท้ายและปิดท้าย  “มิติคิด” และ “จิตวิญญาณแห่งการทำงานสื่อสารด้านวรรณกรรมของผม..เนื่องเพราะ..นี่เป็นหนังสือที่มีสาระใจความถูกประกอบสร้างด้วยกระบวนทัศน์กระทบใจและตรงไปตรงมา..มันคือสัญชาตญาณแห่งการรับรู้ที่ต้องรับรู้รับฟัง ในโลกที่เต็มไปด้วยความสลับซับซ้อนของเล่ห์กลนานา..ที่คอยทุบทำลายความมั่นคงแห่งตัวตนจนอ่อนล้า..กระทั่งอาจถอดใจยอมแพ้ในบางโอกาส..

แท้จริงแล้ว..นี่คือบริบทแห่งการทดสอบวิกฤตแห่งกลไกของชะตากรรม...ว่าชีวิตจะเอาตัวรอดได้ไหม..จากหลุมบ่อแห่งสภาวการณ์ในลักษณะนี้..ที่เสมือนมีปีศาจร้ายคอยควบคุมเกมอัปลักษณ์ที่เหนือคาดคิดนี้อยู่..ในฐานะของตัวละครแห่งโลก..หากเราเฝ้าสังเกตเราจะหยั่งเห็น..และกล้าผจญกับสิ่งอันจะเกิดขึ้นต่อผลลัพธ์ของชีวิตอย่างรู้เท่าทัน(.) เหมือนดั่งว่า ...ในแรกเริ่มของการเดินทาง..เราต้องไม่รีบร้อนที่จะเร่งนำตัวตนของเราเข้าไปเกี่ยวข้องหรือเปรียบเทียบ..ห้วงที่เป็นกลางทางกับคนอื่น..แต่นัยแห่งความค่อยเป็นค่อยไป..จะทำให้ชีวิตระหนักได้ถึงวิถีแห่งสัจจะอย่างหยั่งถึง ณ วันหนึ่ง..เข้าจนได้..”

เจตจำนงแห่งหนังสือ..ค่อยๆนำเสนอแง่คิดในมุมมองแห่งชีวิต ด้านต่างๆให้เราได้ร่วมกันเพ่งพินิจ...จากภายในปะทะกับภายใน/จากภายในล่วงสู่ภายนอก/จากภายนอกตอกย้ำสู่แดนสำนึกภายใน/หรือกระทั่งภาพเงาจากภายนอกผสานกับภายนอก..นั่นคือความหมายโดยรวมแห่งอุบัติการณ์ชีวิตที่มีส่วนประกอบที่แม้จะแตกต่าง..แต่กลับมีจิตวิญญาณแห่งการใฝ่คิดที่เป็นคุณประโยชน์ต่อภาพรวมของความเป็นชีวิตด้วยความหยั่งลึก...ระคนกัน..

“เพราะชีวิต...คือบททดสอบที่ท้าทาย...โลกเลยส่ง “ปีศาจร้าย” เข้ามาทดสอบเราเสมอ” ..ว่ากันว่า ปีศาจสร้างพลังลบ ตามหลอกหลอน อยู่รอบตัวเรา..พยายามปั่นหัว..พยายามล่อลวงเราตลอดเวลา..จนอดคิดไม่ได้ว่า บางที “ปีศาาจ” ..อาจจะอยู่รอบตัวเรา..   แล้วถ้าเรา กลับกลายเป็นปีศาจไปจริงๆ..จะมีวิธีที่ทำให้เราเปลี่ยนตัวเองให้กลายเป็น “นักสู้” ที่กำจัดปีศาจพวกนี้ออกไปจากชีวิตได้ไหม?..

ปริศนาแห่งสำนึกคิดนี้..คือ..ผลรวมแห่งกระบวนทัศน์ในการใคร่ครวญ...ที่ถือเป็นย่างก้าวสำคัญต่ออนาคตกาล..โดยแท้..

“เราคือคนเดียว..ที่เลือกได้ว่า จะก้าวต่อไป หรือ นั่งร้องไห้อยู่ที่เดิม..” ความเป็นปัจเจก..ถูกเน้นย้ำอยู่บ่อยครั้งในฐานะผู้มีอำนาจในการเลือกสรร..คุณค่าแห่งผลลัพธ์ของชีวิต ด้วยความมุ่งหวังที่เชื่อว่า..ตัวตนของเรา..มีรากฐานที่เป็นความสำคัญเหนืออื่นใดเสมอ..

 “เราคือคนคนเดียว..ที่เลือกได้ว่าจะก้าวต่อไป หรือนั่งร้องไห้อยู่ที่เดิม../ร้องไห้กับสิ่งที่เสียไป..แต่ก็ต้องไม่ลืมที่จะชื่นชมสิ่งที่อยู่ข้างหน้า..” รายละเอียดแห่งชีวิตเช่นนี้ เป็นการจับต้องมโนสำนึกที่บริสุทธิ์..มันคือภาวะแห่งการทบทวน..บางสิ่งบางอย่างในสายทางที่ต้อง..ใช้สติเป็นเครื่องรองรับความผันผวนนั้นๆ..ให้สามารถคงที่และสงบนิ่งได้

“คุณเปลี่ยนใครให้เป็นคนซื่อสัตย์ไม่ได้..แต่คุณเปลี่ยนใจไปรักคนซื่อสัตย์ที่เห็นคุณค่าของคุณได้..อย่าเสียเวลาของคุณไปกับคนที่ไม่เห็นค่าของมัน..เพราะของอะไรก็ตามจะมีค่า ก็ต่อเมื่อ มันได้อยู่กับคนที่เห็นค่าของมัน..คนที่ไม่เห็นค่าของเรานั้น..ไม่มีวันรักเราจริงๆได้หรอก..เพราะคุณค่าของเราอยู่ตรงไหน เขายังไม่ใส่ใจจะรู้เลย..”

ประเด็นแห่งการเป็น “ผู้เลือกและการเป็นผู้ถูกเลือก” นับเป็นประเด็นสำคัญประเด็นหนึ่ง ที่คนเราทุกคนจักต้องมีใจในการพินิจพิเคราะห์ถึงแก่นแท้ของมัน..โครงสร้างแห่งการตัดสินใจนี้จะคอยหลอกหลอน ภาวะแห่งการมีอยู่และเป็นอยู่ของเราเสมอ..ว่าอะไรคือสิ่งที่จำเป็นต่อปรารถนาของชีวิตกันแน่..!

“อย่ายึดติดกับคนที่ทำให้คุณรู้สึกเป็นตัวเลือก ทั้งๆที่..จริงๆแล้ว..คุณควรค่ากับการเป็นตัวจริง..จงเลือกคนที่มองเราเป็น “ตัวจริง” ไม่ใช่แค่ “ตัวเลือก”..เรามีค่าเกินกว่าจะมารอเศษเวลาเหลือๆจากใคร...” ความนับเนื่องอันเป็นคุณสมบัติที่สมควรจะตอกย้ำแก่ชีวิต..อย่างน่าจดจำก็คือประเด็นอันเกี่ยวเนื่องถึง “ความซื่อสัตย์/ด้วยเหตุที่..ความซื่อสัตย์เป็นคุณสมบัติพื้นฐานของความรัก/..ดั่งนี้..การโกหกจึ่งเป็นหายนะของความสัมพันธ์..โลก ณ วันนี้ ความซื่อสัตย์มักไม่ค่อยได้ผลตอบแทน..แต่กลับมีราคาที่ต้องจ่ายเสมอ..

แต่ครั้นมาพิจารณาถึงความไม่ซื่อสัตย์..สัจธรรมก็บอกความสัตย์ที่ต้องตระหนักรู้และย้ำคิดต่อเราว่า..ความไม่ซื่อสัตย์ต่อกันนั้น..ไม่ใช่เรื่องปกติ ส่วนการซื่อสัตย์ต่อกันนั้นก็ไม่ใช่เรื่องพิเศษหรือโชคดีอะไร..”

ปีศาจร้าย มักจะตีรวนความคิดของเราจากภายในสู่ภายในเสมอ โดยที่มีบทสะท้อนจากปฏิกิริยาภายนอก..เหตุนี้เราจึงต้องหัดชื่นชมชีวิตของเราเองด้วยความจริงใจของเราบ้าง.. “เราต้องหัดชื่นชมตัวเองบ้าง..อย่าคิดว่าเราเดินได้ช้ากว่าคนอื่น..เพราะโดยแท้จริงแล้ว..ทุกๆย่างก้าวของเรา..คือการพาตัวเอง..ไปข้างหน้า..” เมื่อชีวิตต้องก้าวไปข้างหน้า..ก็จงอย่ากลัวต่อสิ่งใดในชีวิต  ความกลัวคือสิ่งที่จะถาโถมเข้ามาทำร้ายและทำลายเราจนแหลกสลาย..ยิ่งในยามที่อ่อนแอ  ชีวิตก็ยิ่งจะไร้ค่าลงไปในทันใด..

“ความกลัวมีอยู่จริงแค่ในหัวของเราเท่านั้นแต่ไม่มีตัวตนจริง..มันเกิดจากความคิดของเราที่มีกับสิ่งที่ยังไม่เกิดขึ้น”

เราล้วนต่างกลัวความเปลี่ยนแปลง..กลัวความไม่สำเร็จ  กระทั่ง..กลัวคนอื่นทำให้ผิดหวัง ทั้งหมดทั้งสิ้นคือ ความอ่อนด้อยในชีวิต..เป็นจุดอ่อนที่หลอนหลอกเรา..ดุจเงาปีศาจ..ที่กราดเกรี้ยวต่อเนื้อแท้แห่งภาวะชีวิตของเรา..

“การเปลี่ยนแปลงมันน่ากลัว แต่ความเสียดายมันน่ากลัวกว่า../..เราต้องเข้าใจให้ชัดแจ้งว่า..ความสำเร็จ ไม่ได้มาเคาะประตูหน้าบ้านของใคร..เราจึงต้องออกไปคว้ามันมาเอง..ที่สำคัญ..ให้จดจำไว้เสมอว่า..คนอื่นๆไม่ได้ทำให้เราผิดหวัง..เพียงแต่เราตั้งความหวังกับพวกเขามากจนเกินไป..”

นัยสำคัญด้านหนึ่งของสัมพันธภาพแห่งชีวิต..ผ่านการคบเพื่อน..คือแบบทดลองที่เกาะกินใจและหยั่งถึงก้นบึ้งแห่งความหมายของชีวิต..อย่างดิ่งลึก..มันคือปรากฏการณ์แห่งใจที่ต้องระมัดระวัง..

“เพื่อนแท้ชอบพูดต่อหน้า..เพื่อนไม่มีค่าชอบพูดลับหลัง” นี่คือนัยที่ชวนสังเกตน้ำหนักอันน่าตื่นตะลึงของมัน..เช่นเดียวกับว่า.. “เวลาที่เสียเพื่อนที่ไม่จริงจังไป..ต้องทำความเข้าใจว่า..เราไม่ได้เสียเพื่อนคนไหนไปเลย” ..ดังนั้น..จึงไม่สมควรที่จะคิดไปเองว่า..เขาเป็นเพื่อน เพราะถ้าเขาไม่จริงใจ..เขาก็ไม่ใช่เพื่อนของเราแต่แรกแล้ว..เราจึงสมควรที่จะต้องตัดคนที่ไม่จริงใจออกไปจากชีวิตเสีย..เพราะถ้าเรายอมให้เขาทำร้ายซ้ำแล้วซ้ำเล่าโดยที่เรา...ไม่ทำอะไรเลย..ก็จะมีแต่เรานั่นเอง ที่จะเสียสุขภาพจิตไปเปล่าๆ

“เพื่อนที่ดีจะจริงใจ..และพูดความจริงเสมอ..แม้ความจริงนั้นจะเจ็บปวด..” ข้อย้ำเตือนนี้มีค่าต่อการสรรค์สร้างนัยชีวิตเสมอ..เป็นปีศาจที่คอยหลอนหลอกเจตจำนงดีชั่วของตัวเรา..อย่างเพ่งพินิจและมิหยุดยั้ง..เราจำเป็นต้องรู้จักสัมผัส ปีศาจในด้านมือแก่งสัญชาตญาณของเรา..เรียนรู้อย่างซ้ำๆเพื่อจะเข้าใจอย่างซ้ำๆ..เพื่อจะได้หยั่งเห็น..บทสรุปอันเป็นที่สุดแห่งความทรงจำของชีวิต..

“จงพูดอย่างระมัดระวัง..คนฟังอาจให้อภัย แต่จะไม่มีวันลืม/..ไม่มีใครดูดี ตอนทำให้คนอื่นแย่/..ความดูดีไม่ได้ทำให้เราฉลาด..แต่ความฉลาดต่างหากที่ทำให้เราดูดี../อย่าโต้ตอบคนไม่ดีด้วยความไม่ดี..เพราะอย่างนั้นเราจะกลายเป็นคนไม่ดีเสียเอง../คุณมีแค่ร่างกายเดียว..ดูแลมันด้วยความรัก ความเคารพ และความใส่ใจ../เราต้องหัดชื่นชมตัวเองบ้าง..อย่าคิดว่า..เราเดินได้ช้ากว่าคนอื่น.เพราะทุกก้าวย่าง คือการพาตัวเองไปข้างหน้า../ถ้าคุณเพิ่งอยู่ตรงจุดเริ่มต้นของการเดินทาง..อย่าเปรียบเทียบมันกับกลางทางของคนอื่น/และ.. สมองคือเครื่องประดับที่สวยที่สุด จงลับสมองให้เฉียบคมอยู่เสมอ/..ถ้าแม้แต่ตัวเราเองยังยอมเป็นตัวเลือก..แล้วทำไมเขาต้องเลือเราให้เป็นตัวจริง..”

ทั้งหมดในสิ่งทั้งหมดคือปรารถนาแห่งรูปรอยของความคิดในมิติแห่ง รูปรอยต่างๆ..ที่เคี่ยวกรำผ่าน.สมอง กาย ใจ..จนบังเกิดเป็นรากฐานแห่งสำนึกคิดอันตกผลึก..ปรัชญาชีวิต..ทั้งหลายทั้งปวงอันก่อเกิดขึ้นจากสำนึกที่แท้..ถือเป็นทั้งสัจจะและมายาคติ ที่สับเปลี่ยนตัวตนของเรา..จากวิถีสามัญให้กลายเป็นปีศาจ..จากความเป็นปีศาจให้กลายเป็นความสามัญที่ทรงคุณค่าแท้จริงเสมอ..

“เราคือคนคนเดียว ที่เลือกได้ว่าจะก้าวหน้าต่อไป..หรือยอมที่จะนั่งร้องไห้อยู่ที่เดิม..”

ปีเก่ากำลังจะล่วงผ่านไป..มีใหม่กำลังจะก้าวย่างเข้ามาถึง..แม้เราจะมีความรู้สึกร่วมกับโอกาสแห่งวันเวลาเช่นนี้..เช่นใดก็ตาม..การอ่านหนังสือเล่มนี้..และสัมผัสที่ได้จากผัสสะโดยภาพรวมแห่งความคิดของมัน ย่อคือภาพรวมแห่งบทสรุปของแก่นแท้แห่งชีวิต..ที่คือนัยของการถักร้อยสัจธรรม “เรียบง่าย” ..แต่ก็แฝงไปด้วยวิถีแห่งสัจจะ  อันส่งผลต่อการชำระล้างและปอกเปลือกหัวใจที่ถูกทั้งโลกแห่งตัวตน และ โลกสันนิวาสเคี่ยวกรำและทดสอบบทเรียนอย่างไร้ปรานี..

หนังสือเล่มหนึ่ง..ย่อมมีค่า ณ ยามหนึ่ง..ขณะที่โลกไข่วคว้าหาสวรรค์แห่งการปลดเปลื้องพันธนาการอันเศร้าตรมแห่งชีวิตไม่ได้..บางทีและบางที..เราก็จำเป็นต้องแบกรับและต่อสู้กับอำนาจของปีศาจที่หลอนหลอกและซัดเหวี่ยงตัวตน..สู่การขึงพืดทางชะตากรรมอย่างไม่รู้จบรู้สิ้นเสียที..มันคือบทเริ่มต้น..ที่จะกก้าวสู่คราบร่างของตัวคนใหม่..ตัวตนที่..ปีศาจตนใดก็ไม่อาจสั่นไหวหัวใจของเราให้..คลายเคลื่อนและแหลกสลายลงไปต่อหน้าได้..เราจะบังเกิดชีวิตนั้นปลอดภัยมากขึ้น และมากขึ้น..!!!

“ปีศาจสร้างพลังลบ..ตามหลอกหลอนอยู่รอบตัว..พยายามล่อลวง ปั่นหัวเราตลอดเวลา..จนอดคิดไม่ได้ว่า..บางที “ปีศาจ”อาจอยู่ในตัวของเราเอง..”