คุยเฟื่องเรื่องต่างประเทศ / ดร.วิวัฒน์  เศรษฐช่วย

แทบไม่น่าเชื่อเลยว่า อีกเพียงหนึ่งเดือนกว่าๆในวันที่ 24 กุมภาพันธ์ 2024 ก็จะครบสองปีแล้วที่รัสเซียเข้าบุกยูเครน และดูเหมือนว่าโอกาสที่สงครามจะยุติลงช่างแสนยากเย็นเหมือนเดินเข้าสู่อุโมงค์ที่ทั้งตีบและตัน และแทบจะไม่น่าเชื่ออีกด้วยว่า ที่ผ่านมา “ประธานาธิบดีโจ ไบเดน” สามารถเรียกร้องให้สภาคองเกรสทุ่มเงินช่วยเหลือยูเครนมากกว่าประเทศอื่นๆอีก 47 ประเทศที่ยื่นมือเข้าไปให้ความช่วยเหลือด้วยเช่นกัน!!! (จากข้อมูลล่าสุดของ Council Foreign Relations เมื่อปีค.ศ. 2023)

อนึ่งความช่วยเหลือส่วนใหญ่มุ่งไปที่ด้านการจัดหาระบบอาวุธยุทโธปกรณ์ ด้านการฝึกอบรมและด้านข่าวกรอง เพื่อให้ยูเครนมีความสามารถป้องกันและตอบโต้รัสเซีย โดยประธานาธิบดีโจ ไบเดน ถือว่า การรุกรานของรัสเซียถือเป็นเรื่องที่โหดเหี้ยมและเลวร้ายที่สุด นับตั้งแต่สงครามยูเครนเริ่มขึ้นจนถึง ณ วันนี้ ประธานาธิบดีโจ ไบเดน ได้รับอนุมัติจากสภาคองเกรสช่วยเหลือยูเครนไปแล้วมากกว่า 75 พันล้านดอลลาร์  โดยมี “สหภาพยุโรป” ให้ความช่วยเหลือยูเครนเพียง 1.5 พันล้านดอลลาร์ต่อเดือนเท่านั้น ส่วนงบประมาณประจำปีของยูเครนในปีค.ศ. 2024 จะอยู่ที่ 40 พันล้านดอลลาร์ โดยงบประมาณ 22% ถูกจัดสรรไปเป็นงบประมาณด้านการทหาร

ทั้งนี้ดูเหมือนว่าที่ผ่านมาหากมีนักการเมืองอเมริกันคนใดก็ตามในค่ายพรรครีพับลิกันเข้าไปทำงานร่วมมือกับประธานาธิบดีโจ ไบเดน นักการเมืองผู้นั้นก็จะเสี่ยงกับการที่จะมีอนาคตทางการเมืองดับวูบไม่ค่อยแจ่มใสไปในทันที ยกตัวอย่าง เช่น “อดีตประธานสภาฯเควิน แม็คคาร์ธี” ที่เผลอตัวปล่อยใจเข้าไปร่วมผลักดันให้งบประมาณด้านการช่วยเหลือยูเครนผ่านไปได้  จนมีผลทำให้ในอีกไม่กี่วันต่อมาเขาถูกทั้งผลักและทั้งดันจากพรรคให้กระเด็นหลุดพ้นออกจากตำแหน่ง!!!

อนึ่งที่ผ่านมาจะเห็นได้ว่าครั้งที่สงครามเกิดขึ้นใหม่ๆคนอเมริกันส่วนใหญ่เคยให้การสนับสนุนยูเครนมากกว่า 61% แต่ขณะนี้กระแสการสนับสนุนยูเครนกลับค่อยๆลดน้อยลงไปเรื่อยๆ และจากผลการหยั่งเสียงของสถานีโทรทัศน์ CBS ร่วมกับYouGov ที่ทำการสำรวจเมื่อเดือนสิงหาคม ปีค.ศ.2023 ปรากฏออกมาว่า มีนักการเมืองในค่ายพรรครีพับลิกันเพียงแค่ 39% เท่านั้นที่เห็นชอบด้วยในการที่สหรัฐฯส่งอาวุธให้แก่ยูเครน

ขณะที่เสียงที่ให้ความสนับสนุนต่อสงครามยูเครนกำลังลดลงไปเรื่อยๆนั้น มีผลทำให้รัสเซียเร่งมือเข้าไปบุกขยี้รุกรานยูเครนหนักมือมากยิ่งๆขึ้น โดยประธานาธิบดีโจ ไบเดน ได้ออกมาแจ้งเตือนต่อสภาคองเกรสว่า หากยูเครนไม่ได้รับความช่วยเหลือ เท่ากับปูทางให้ประธานาธิบดีวลาดิมีร์ ปูติน ชนะสงครามไปโดยปริยาย

จนในที่สุดเมื่อวันที่ 12 ธันวาคม 2023 ประธานาธิบดีโจ ไบเดน ได้เชิญให้ “ประธานาธิบดีโวโลดีมีร์ เซเลนสกี”  ของยูเครน เดินทางไปยังกรุงวอชิงตัน เพื่อผลักดันให้สภาคองเกรสอนุมัติความช่วยเหลือเพิ่มเติมให้แก่ยูเครน และขณะที่ประธานาธิบดีโจ ไบเดน เข้าพบปะกับประธานาธิบดีเซเลนสกี ที่ทำเนียบขาวนั้น เขาก็ได้กล่าวรับปากยืนกรานว่า “สหรัฐฯจะยืนเคียงคู่อยู่ข้างยูเครนตลอดไป” แต่กลับปรากฏว่ามีแกนนำของพรรครีพับลิกันหลายคน ออกโรงต่อต้านว่า “ไม่ต้องการที่จะเพิ่มความช่วยเหลือต่อยูเครนอีกต่อไป” โดยพวกเขาบ่งชี้ออกมาว่า ทำเนียบขาวไม่มีความชัดเจนว่ายูเครนจะสามรถเอาชนะรัสเซียในสงครามครั้งนี้ได้อย่างไร!!!

อย่างไรก็ตามประธานาธิบดีโจ ไบเดน ได้ลงนามความช่วยเหลือทางด้านการทหารครั้งล่าสุดให้กับยูเครนเป็นมูลค่า 200 ล้านดอลลาร์ เป็นที่น่าสังเกตว่าในอดีตที่ผ่านมาชาวอเมริกันถือเป็น “แชมเปี้ยน” และเป็น “ฮีโร่” ด้านมนุษยธรรม ก็ตาม แต่ขณะนี้กลับหมุนกลับตาลปัตรเปลี่ยนไป ดั่งจะเห็นได้จากการที่การสอบสวนของคณะกรรมการสอบสวนระหว่างประเทศที่ออกมาเปิดเผยและได้ส่งต่อไปยังสมัชชาใหญ่แห่งสหประชาชาติ เมื่อวันที่ 20 ตุลาคมนี้ โดยมีข้อความระบุว่า รัสเซียเป็นฝ่ายเปิดศึกโจมตีตามอำเภอใจต่อชาวยูเครน ที่กระทำทั้งทรมาน ข่มขืน และก่อความรุนแรงทางเพศ รวมไปถึงขาดมนุษยธรรมแยกเด็กๆชาวยูเครนจากอกพ่อแม่ส่งไปยังรัสเซีย

และตามรายงานนี้ได้เปิดเผยต่อไปอีกว่า ในขณะที่การสู้รบในยูเครนดำเนินต่อเป็นปีที่สอง มีผลทำให้พลเรือนชาวยูเครนหลายๆพันคนได้รับความกระทบกระเทือนเดือดร้อนเป็นสูง ยกตัวอย่างเช่น ในการโจมตียูเครนเมื่อเดือนเมษายน2023ที่ผ่านมานี้พลเมืองชาวยูเครน 24 ราย ที่ส่วนใหญ่เป็นผู้หญิงและเด็กต้องถูกสังหาร แถมรัสเซียยังกระทำการทรมานชาวยูเครนโดยมิคำนึงถึงศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์แต่อย่างใด

จากรายงานล่าสุดเมื่อเดือนกรกฎาคม 2023 ว่ามีจำนวนของชาวยูเครนที่ต้องอพยพลี้ภัยมากถึง 6.2 ล้านคน จากจำนวนประชากรทั้งหมด 37 ล้านคน  และจากการรายงานของสำนักข่าวรอยเตอร์ เมื่อวันที่ 15 พฤศจิกายน ที่เพิ่งผ่านมาไม่นานมานี้เปิดเผยอีกเช่นกันว่า นับตั้งรัสเซียบุกเข้าทำสงครามกับยูเครนมีทหารยูเครนเสียชีวิตไปแล้วถึง 30,000 นาย และยังมีจำนวนของผู้บาดเจ็บและผู้เสียชีวิตอีกมากมาย (ข้อมูลจากสำนักข่าวรอยเตอร์ วันที่ 15 พฤศจิกายน 2023)

ช่างน่าแปลกที่ขณะนี้นักการเมืองอเมริกันกลับมิได้แสดงความเห็นอกเห็นใจ โดยหมางเมินมิแยแสต่ออุดมการณ์ที่เคยเป็นแชมเปี้ยนด้านสิทธิมนุษยชนในอดีตโดยสิ้นเชิง ขณะนี้มุมมองของคนอเมริกันที่มีต่อสงครามยูเครนมีอยู่ที่ว่า คงจะเป็นสงครามที่มีความยืดเยื้อติดต่อกันเป็นเวลายาวนาน โดยคนอเมริกันเริ่มจะเบื่อหน่ายมิให้ความสนใจ

อีกทั้งนักการเมืองค่ายพรรครีพับลิกันก็เริ่มจะออกโรงมาทำการต่อต้านต่อนโยบายของประธานาธิบดีโจ ไบเดน ในการจัดหางบประมาณช่วยเหลือด้านการจัดอาวุธสงครามให้แก่ยูเครนมากขึ้นเรื่อยๆ เมื่อเป็นเยี่ยงนี้นับว่าเป็นข่าวร้ายต่อประธานาธิบดีโจ ไบเดน มิใช่น้อย เนื่องจากสภาผู้แทนราษฎรสหรัฐฯที่พรรครีพับลิกันมีเสียงข้างมาก ต่างเล็งเห็นว่า การทุ่มงบประมาณทางด้านการทหารให้แก่ยูเครนในขณะนี้ มากเกินอัตรา โดยนักการเมืองเหล่านี้ให้ความคิดเห็นว่า “น่าจะนำเงินจำนวนนี้ไปพัฒนาประเทศ”

เท่ากับว่าขณะนี้ยูเครนกำลังอยู่สภาวะที่แสนเลวร้าย  สืบเนื่องมาจากสหรัฐอเมริกา ที่นำโดยประธานาธิบดีโจ ไบเดน และฝ่ายที่สนับสนุนสงคราม กำลังตกอยู่ในภาวะที่กลืนไม่เข้า คายไม่ออก เพราะไม่รู้ว่าจะอธิบายให้ชาวอเมริกันได้รับทราบอย่างไร ในสิ่งเลวร้ายที่จะเกิดขึ้นหากยูเครนเกิดพ่ายแพ้ต่อสงคราม เหมือนดังที่เคยเกิดขึ้นใน สงครามเวียดนาม สงครามอิรัก และสงครามอัฟกานิสถาน

ทั้งนี้ในช่วงแรกๆของสงครามที่เกิดขึ้นในยูเครนชาวอเมริกันส่วนใหญ่ต่างมีความกระตือรือร้นในด้านให้ความช่วยเหลือสนับสนุนต่อยูเครน เพราะเห็นแก่มนุษยธรรม สืบเนื่องมาจากพวกเขาเห็นความโหดร้ายของทหารรัสเซียที่ทำลายอาคารบ้านเรือน สร้างความโหดร้ายต่อเด็กๆ แถมมีชาวยูเครนอีกหลายล้านคนต้องอพยพหลบหนีเป็นผู้ไร้ที่พำนักอาศัย ที่ถือเป็นการกระทำที่ผิดศีลธรรม

นับตั้งแต่สงครามยูเครนเกิดขึ้นสหรัฐอเมริกาส่งมอบความช่วยเหลือให้แก่ยูเครนไปแล้วอย่างมากมายมหาศาล ไม่ว่าจะเป็นด้านอาวุธหนัก อาวุธเบา อากาศยานไร้คนขับ  ด้านให้การฝึกอบรม ด้านข่าวกรอง   นอกจากนั้นแล้วยังมีพันธมิตรของสหรัฐฯหลายๆประเทศให้ความช่วยเหลือด้านพาหนะป้องกันการซุ่มโจมตี ทุ่นระเบิด กระสุน พาหนะหุ้มเกราะ ปืนใหญ่ลากจูง  ระบบเรดาร์ เครื่องเอกซเรย์แบบเคลื่อนที่ เครื่องบินแจ้งเตือนฯลฯ

ส่วนฝ่ายรัสเซียก็ได้รับความช่วยเหลือจากเวียดนาม ฮังการี  ซีเรีย เบลารุส เซอร์เบีย ตุรเคีย อียิปต์ อิหร่าน ซาอุดิอาระเบีย กาตาร์ สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ เกาหลีเหนือ อาร์เมเนีย และคาซัคสถาน

ส่วนประเทศที่วางตัวเป็นกลาง เช่น อินเดียและจีน ต่างก็ได้รับอานิสงส์ผลพวงอย่างมากมายไม่ว่าจะเป็นด้านก๊าซ และน้ำมันเชื้อเพลิงที่สั่งนำเข้ามาจากรัสเซีย โดยที่ผ่านมาจะเห็นได้ว่าทั้งสองประเทศที่กล่าวมานี้ พยายามออกมาปกป้องรัสเซีย และยังช่วยให้รัสเซียลดผลกระทบจากการคว่ำบาตรของสหรัฐฯและชาติพันธมิตร อีกทั้งจีนและอินเดียยังแสดงท่าทีต่อต้านการครอบงำความเป็นตำรวจโลกของสหรัฐฯ แถมก่อนหน้าที่รัสเซียจะบุกยูเครนเพียงแค่ยี่สิบวัน “ประธานาธิบดีสี จิ้นผิง” และ

“ประธานาธิบดีวลาดิเมียร์ ปูติน” ยังได้ร่วมกันลงนามในแถลงการณ์อย่างเป็นทางการ เพื่อต่อต้านชาติตะวันตก โดยทั้งสองประเทศออกมาประกาศว่า “สองประเทศจะร่วมมือกันอย่างไม่มีขีดจำกัด”

กล่าวโดยสรุปทั้งนี้และทั้งนั้นสถานการณ์ของสงครามยูเครนยังคงคุกรุ่นไปทั่วโลก แถมไม่มีใครสามารถคาดคะเนได้เลยว่า จะเกิดอะไรขึ้นหากมีสงครามโลกครั้งที่สาม โดยสงครามยูเครนสร้างความแตกแยกไปแล้วทั่วโลก ความสัมพันธ์ทางการทูตกำลังถูดตัดขาด ความไว้วางใจระหว่างผู้นำของประเทศมหาอำนาจกำลังหดหายไป และหากสงครามโลกครั้งที่สามเกิดขึ้นจริงๆเป็นที่คาดการณ์กันว่า นิวซีแลนด์ และออสเตรเลีย จะเป็นประเทศที่ปลอดภัยมากที่สุดเพราะมีน้ำล้อมรอบ และไม่มีท่าเรือน้ำลึกที่กองกำลังของศัตรูสามารถจะใช้โจมตี และหมู่เกาะอินโดนีเซีย ก็เป็นอีกประเทศหนึ่งที่สามารถจะอยู่รอดปลอดภัย แถมอินโดนีเซียยังมีเกษตรกรรมที่ได้รับการพัฒนาเป็นอย่างดีส่วนประเทศอื่นๆก็ตัวใครตัวมันลุ้นกันเองละครับ