วันที่ 31 ธันวาคม 2566 พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม และ พล.ต.ท. ภาณุรัตน์ หลักบุญ ผู้ช่วยผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ รักษาราชการแทน เลขาธิการ ป.ป.ส. เผยถึง ผลความร่วมมือระหว่าง ไทย และ สปป.ลาว ในการจับกุมผู้ต้องหายาเสพติดรายสำคัญ ค่าหัว 1 ล้านบาท มีบทบาทสำคัญในการขนส่งยาเสพติดในภูมิภาค โดย สปป.ลาว เตรียมส่งตัวผู้ต้องหาให้ สำนักงาน ป.ป.ส. เพื่อนำมาดำเนินคดี

พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม กล่าวว่า ภายหลังการประชุมทวิภาคีไทย – สปป.ลาว เรื่องความร่วมมือด้านการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด ครั้งที่ 19 เมื่อเดือนกันยายน 2566 ที่ผ่านมา ระดับความร่วมมือระหว่างสองประเทศมีการพัฒนาดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยเมื่อเดือนพฤศจิกายน 2566 ความร่วมมือระหว่างกันนำไปสู่การยึดยาบ้า 14,850,000 เม็ด ที่นครเวียงจันทร์ซึ่งเตรียมนำส่งข้ามชายแดนเข้าไทยทางด้านจังหวัดหนองคาย และจับผู้ต้องหา 5 คน โดยเป็นชาวลาว 4 คนและชาวไทย 1 คน และเป็นที่น่ายินดีว่าเมื่อวันที่ 27 ธันวาคม 2566 สำนักงาน ป.ป.ส. ได้ร่วมกับหน่วยภาคีสามารถขยายผลจับผู้กระทำผิดในไทยได้เพิ่มอีก 2 คน ขณะหลบหนีไปซุกซ่อนตัวในพื้นที่ จ.สงขลา มาดำเนินคดีตามความผิดที่ได้ก่อขึ้นต่อไป

 พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม กล่าวต่อว่า ผลจากความร่วมมือระหว่างสองประเทศเกิดขึ้นอีกครั้ง หลังจากเมื่อวันที่ 6 ธันวาคม 2566 พล.ต.ท.ภาณุรัตน์ หลักบุญ ผู้ช่วยผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ รักษาราชการแทน เลขาธิการ ป.ป.ส. เดินทางไปพบ พลตรี คำกิ่ง ผุยหล้ามะนีวง รองรัฐมนตรีกระทรวงป้องกันความสงบ/หัวหน้ากรมใหญ่ตำรวจ สปป.ลาว เพื่อหารือความร่วมมือในการดำเนินการกับ 48 ผู้ต้องหารายสำคัญชาวไทยและชาวต่างชาติ ที่หลบหนีหมายจับในความผิดเกี่ยวกับยาเสพติดจากไทยมาอาศัยใน สปป.ลาว และยังคงเคลื่อนไหวค้ายาเสพติดอยู่อย่างต่อเนื่อง ก่อให้เกิดผลกระทบจากปัญหายาเสพติดขึ้นในทั้งสองประเทศ  

โดยในวันที่ 28 – 29 ธันวาคม 2566 สำนักงาน ป.ป.ส. ประสานงานและร่วมกับกรมตำรวจสกัดกั้นและต้านยาเสพติด สปป.ลาว จับ MR.ONG GIM WAH (นายอ่อง กิม วาห์) สัญชาติมาเลเซีย อายุ 39 ปี ผู้ต้องหารายสำคัญตามหมายจับศาลอาญา ที่ 358/2566 ลงวันที่ 28 สิงหาคม 2566 ซึ่งทางการ สปป.ลาว ได้ควบคุมตัวผู้ต้องหาดังกล่าวและอยู่ระหว่างดำเนินกระบวนการส่งมอบตัวให้สำนักงาน ป.ป.ส. เพื่อนำมาดำเนินคดีต่อไป 

พล.ต.ท. ภาณุรัตน์ หลักบุญ ผู้ช่วยผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ รักษาราชการแทน เลขาธิการ ป.ป.ส. กล่าวเพิ่มเติมว่า สำนักงาน ป.ป.ส. ทำการสืบสวนติดตามพฤติการณ์ นายอ่อง กิม วาห์ มาตั้งแต่ปี 2549 จนกล่าวได้ว่า นายอ่อง กิม วาห์ เป็นอาชญากรข้ามชาติรายสำคัญ โดยเป็นนักค้ายาเสพติดที่มีบทบาทเป็นผู้จัดหาและติดต่อประสานงานในการค้ายาเสพติดจากพื้นที่สามเหลี่ยมทองคำ โดยร่วมกับเครือข่ายนักค้ายาเสพติดชาวไทย มาเลเซีย จีน สิงคโปร์ และ สปป.ลาว ประการสำคัญ นายอ่อง กิม วาห์ นอกจากใช้ไทยเป็นแหล่งฟอกเงินแล้ว ยังใช้เป็นช่องทางและเส้นทางในการลักลอบลำเลียงยาเสพติดผ่านไทยไปยังประเทศที่สาม เช่น มาเลเซีย ไต้หวัน ออสเตรเลีย เป็นต้น สำหรับการจับตัวนาย อ่อง กิม ว่าห์ ได้ในครั้งนี้เป็นผลจากการสืบสวนอย่างต่อเนื่องและการประสานงานกันอย่างใกล้ชิดระหว่างหน่วยงานบังคับใช้กฎหมายของไทย มาเลเซีย และ สปป.ลาว  

โดยตั้งแต่ปี 2561 ถึงปัจจุบัน มีการจับผู้กระทำผิดและยึดยาเสพติดในเครือข่ายของนายอ่อง กิม วาห์ ในไทยและมาเลเซีย รวม 11 คดี ผู้ต้องหา 35 คน ยาเสพติดของกลาง ไอซ์ 4.4 ตัน เฮโรอีน 493 กิโลกรัม และโคเคน 12 ตัน ซึ่งคดีส่วนใหญ่เกิดขึ้นที่มาเลเซีย ทั้งนี้ทางการมาเลเซียได้ยึดทรัพย์สินของเครือข่ายนายอ่อง กิม วาห์ ทั้งสังหาริมทรัพย์และอสังหาริมทรัพย์กว่า 320 รายการ รวมมูลค่าประมาณ 418 ล้านริงกิตมาเลเซีย และกำลังดำเนินการตรวจยึดบริษัทของบุคคลในเครือข่ายอีก 8 แห่งต่อไป

สำหรับคดีที่เกิดขึ้นในไทยและนำไปสู่การออกหมายจับนายอ่อง กิม ว่าห์ ในครั้งนี้ คือเมื่อวันที่ 27 มิถุนายน 2566 สำนักงาน ป.ป.ส. ร่วมมือกับกองบัญชาการตำรวจปราบปรามยาเสพติด, หน่วยบัญชาการสงครามพิเศษทางเรือ (SEAL) และชุดปฏิบัติการพิเศษ กองทัพเรือ กองบัญชาการกองทัพไทย และศูนย์รักษาความปลอดภัย (ศรภ.) จับผู้ต้องหา 7 คน ยึดไอซ์ 998 กิโลกรัม ที่ จ.ราชบุรี จากการข่าว การสืบสวนและการสอบสวนได้พยานหลักฐานว่านาย อ่อง กิม ว่าห์ เป็นตัวการสำคัญผู้อยู่เบื้องหลัง จึงได้มีการขออนุมัติศาลออกหมายจับเมื่อวันที่ 28 สิงหาคม 2566 และปรากฏข้อมูลว่านายอ่อง กิม วาห์ ได้หลบหนีไปอาศัยอยู่ใน สปป.ลาว ต่อมาวันที่ 5 ตุลาคม 2566 ได้ตรวจค้นสถานที่ 8 แห่งที่เกี่ยวข้องกับการกระทำผิดใน 4 จังหวัดคือ กทม. จ.ตราด จ.เชียงราย และ จ.ชลบุรี ทำการยึดอายัดทรัพย์สิน อาทิเช่น ที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้าง 1 แปลง คอนโดมิเนียม 2 ห้อง เรือยอร์ช 3 ลำ รถยนต์ 2 คัน รถจักรยานยนต์ 3 คัน อาวุธปืนสั้น 1 กระบอก อาวุธปืนยาว 2 กระบอก เงินสด 275,000 บาท อายัดเงินในบัญชีธนาคาร 10 บัญชี ยอดเงิน 1,542,080 บาท และทรัพย์สินอื่น รวมมูลค่ากว่า 85 ล้านบาท 

การสืบสวนจนกระทั่งจับตัวนายอ่อง กิม วาห์ ได้ในครั้งนี้ ถือได้ว่านอกจากเป็นความสำเร็จในการจับได้ตัวการสำคัญหรือผู้บงการอยู่เบื้องหลังของเครือข่ายการค้ายาเสพติดข้ามชาติแล้ว ยังเป็นความสำเร็จอันเกิดจากความร่วมมือกันของนานาประเทศที่ได้รับผลจากการค้ายาเสพติดของเครือข่ายนี้ เพราะแน่นอนว่ายาเสพติดที่เครือข่ายนี้ส่งไปยังประเทศปลายทาง ย่อมแพร่กระจายไปทำลายประชากรในประเทศนั้น ๆ และก่อให้เกิดปัญหาอื่น ๆ ตามมาอีกมากมาย จึงต้องขอขอบคุณเจ้าหน้าที่บังคับใช้กฎหมายทุกหน่วยงานทั้งภายในและนอกประเทศที่ได้ร่วมมือกัน ทุ่มเทกำลังกายและกำลังใจในการปฏิบัติงาน 

พล.ต.ท.ภาณุรัตน์ หลักบุญ กล่าวในตอนท้ายว่าตามนโยบายเร่งด่วนของรัฐบาลนายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี และ พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ในการลดความรุนแรงของปัญหายาเสพติดลงให้ได้ภายใน 1 ปี สำนักงาน ป.ป.ส. และทุกหน่วยงานภาคีพร้อมที่จะร่วมกันดำเนินการให้เกิดผลอย่างเป็นรูปธรรม และสำหรับปฏิบัติการครั้งนี้ถือเป็น 1 ใน 10 ข้อสั่งการที่ นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี มอบไว้ให้เมื่อวันที่ 26 ธันวาคม 2566 คือการดำเนินนโยบายต่างประเทศเชิงรุก และเพิ่มประสิทธิภาพในการสกัดกั้นยาเสพติดตามแนวชายแดนให้ครอบคลุม การยกระดับการปราบปรามทำลายโครงสร้างเครือข่ายการค้ายาเสพติดระดับต่าง ๆ สำนักงาน ป.ป.ส. พร้อมที่จะดำเนินการทุกวิถีทางที่ลดปัญหายาเสพติดให้ได้ภายใน 1 ปี และหากมีเบาะแสยาเสพติดสามารถแจ้งได้ที่สายด่วน 1386 ได้ตลอด 24 ชั่วโมง