ปากกาขนนก / สกุล บุณยทัต

“อาชีพครู...ถือเป็นอาชีพที่ทรงเกียรติและเป็นนิรันดร์..ความสุขสำเร็จของชีวิตใดชีวิตหนึ่ง..ย่อมผลิดอกออกช่อมาจากกระบวนวิธีแห่งการสอนสั่งของครูในนัยแห่งการศึกษาในแต่ละช่วงวัย..ผ่านขบวนการรับรู้ในรู้สึกแห่งประสบการณ์ที่ฝังลึกอยู่ในหลืบลึกของความทรงจำแห่งบทบันทึกของ..สมอง กาย และใจ..

ครูจึงเป็นอาชีพแห่งสถานะที่เลอค่า..คือผู้ปลูกกล้าพันธุ์ใหม่แห่งปัญญาญาณให้แก่โลก..ตราบใดที่ชีวิตเกี่ยวเนื่องกับจิตปัญญาดั่งนี้ ..ศักยภาพของความเป็นครูก็จะยิ่งสร้างกุศลธรรมธรรมรัฐอเนกอนันต์..แต่หากครูเห็นแก่ได้ เปี่ยมเต็มไปด้วยมิจฉาทิฐิ พนออัตตา และเอาแต่คลั่งบ้าอยู่กับยศถาบรรดาศักดิ์ จนลืมสถานะอันควรมีควรเป็นที่สมภาคภูมิแห่งตน..โลกแห่งการศึกษาอันศักดิ์สิทธิ์สถาพร...ก็จะไม่เหลืออะไรให้ทั้งจดจำและจดจารเพื่อเป็นอนุสรณ์แห่งเกียรติภูมิอันน่าบูชายกย่องอีกต่อไป..”

รากฐานแห่งเจตจำนงอันชวนคิดคำนึงเบื้องต้น..คือสาระสำคัญที่ได้รับมาจากหนังสือที่มีค่าต่อการรับรู้..ยิ่งเล่มหนึ่งที่สือสารระหว่างกัน..ของ"ครูกับศิษย์และศิษย์กับครู"ที่น่าเรียนรู้เพื่อความตระหนักรู้ในปราชญาของอาชีพการงานด้านการศึกษาอย่างยิ่ง..มันเปรียบดั่งคัมภีร์กลายๆ...ของวิถีคิดที่เป็นคุณประโยชน์ยิ่งต่อการบรรลุแจ้งในชีวิต

“ครูแท้แพ้ไม่เป็น” (Real Talk for Real Teacher)...งานเขียนเชิงแก่นลึกทางวิชาการของอาชีพครูที่แท้จริง โดย.. “เรฟ เอสควิท” (Rafe Esquith) ครูประถมผู้มีชื่อเสียงโด่งดังไปทั่วโลก ชาวอเมริกัน..ผู้โด่งดังจากหนังสือ “Teach Like Your Hair's on Fire” ..เขาเขียนหนังสือ..เพื่อให้กำลังใจต่อผู้เรียน ด้วยแนวทาง และวิธีคิดใหม่ๆทั้งต่อผู้เรียนที่เป็นเด็กๆ..ชาวอพยพ...ตลอดจนผู้ใหญ่ในวัยศึกษา..ที่เปิดกว้างต่อทัศนคติและมโนทัศน์สำคัญในโลกยุคใหม่อย่างน่ายกย่องชื่นชม..เป็นการเปลี่ยนโลกทัศน์ทางการศึกษา..สู่ชีวทัศน์อันแม่นตรงและแหลมคม..ทั้งเพื่อวันนี้..และสู่ความหวังที่ยั่งยืนของอนาคต..

หนังสือนี้..ถูกกลั่นออกมาจากประสบการณ์แห่งการสอนที่มีมากกว่า 30 ปี  จึงอัดแน่นไปด้วยคำแนะนำ เทคนิค และกำลังใจที่มอบให้แก่ผู้ที่อยู่ในสายอาชีพ “ครู”.. “เรฟ”..ได้บอกเล่าถึงความเป็นครูกับอุดมการณ์ ที่มักจะสวนทางกับความเป็นจริง.. ปัญหาและการรับมือของครูที่เปลี่ยนไปตามเวลาและประสบการณ์...ด้วยลีลาภาษาที่เต็มไปด้วยอารมณ์ขัน..โดนใจและถูกใจครูที่กำลังอยู่ในภาวะที่ลังเลสงสัยในตัวเอง..

ขณะเดียวกัน..ก็เหนื่อยล้ากับปัญหาจากนักเรียน ผู้ปกครอง ระบบราชการ รูปแบบการบริหาร ความสัมพันธ์กับชุมชนเพื่อนร่วมวิชาชีพ และสารพัดมาตรฐาน..แต่แทนที่จะถอดใจ “เรฟ” กลับแนะให้ครูได้รู้ในวิธีการจัดการกับงานและชีวิตอย่างชาญฉลาด..กระตือรือร้น เรียนรู้ในรับรู้ รวมทั้งการพัฒนาตัวเอง..เพื่อจะได้มีความสุขและสนุกกับการทำหน้าที่ “ครู” ต่อไป..

 “เมื่อคนที่อยู่หน้าห้องเรียนเปลี่ยน..ห้องเรียนทั้งห้องก็จะเปลี่ยนตาม” “เรฟ” ยังได้เน้นย้ำกับเราว่า..ครูที่แท้จริงนั้น..ชีวิตไม่ได้โรยไปด้วยกลีบกุหลาบ เหตุนี้ครูที่แท้จริงจึงต้องพร้อมที่จะเผชิญกับอุปสรรคที่บั่นทอนกำลังใจที่มักจะเกิดขึ้นอยู่เสมอ..ทั้งจากศิษย์ในชั้นเรียน จากพ่อแม่ของเด็ก และจากหน่วยเหนือทางการศึกษา..

แต่ “ครู” จะต้องไม่ยอมแพ้ ต้องมีวิธีฟันฝ่า.. “เรฟ” ได้บอกว่า.. “อุปสรรคใหญ่ของครูที่อุทิศตน..คือการเมืองในโรงเรียน”..ซึ่งถือเป็นเรื่องที่น่าตกใจยิ่ง  การใช้ระบบควบคุมสั่งการในระบบการศึกษาอเมริกัน..ตลอดจนเรื่องราวที่ครูดีๆ คนแล้วคนเล่าถูกขัดขวางจากหน่วยเหนือ  นั่นสามารถตีความออกมาได้ว่า..หน่วยเหนือนั้นมีความจำเป็นต้องทำตามกฎระเบียบที่กำหนดไว้..เหตุผลที่ต้องทำเช่นนั้นก็เพื่อปกป้องตนเอง ในกรณีที่เกิดเหตุอันไม่พึงปรารถนา..ก็จะได้ไม่ถูกกล่าวหาว่ากระทำผิด..และ อีกทั้งยังไม่ต้องการเสี่ยงเอาตนเองไปยกเว้นกติกาใดๆ...เพื่อให้ครูที่มีไฟและต้องการสร้างเยาวชนให้เป็นคนที่รับการพัฒนาครบทุกด้าน..ได้สามารถทำงานตามความใฝ่ฝันของครู..

ว่ากันว่า..เส้นทางสายอาชีพครู  ไม่ได้สวยงามตามความคิดฝันที่ฝันกันไว้...แท้จริง..กว่าจะพิสูจน์ความเป็น"ครูที่แท้"ได้....ครูก็ต้องฝ่าฟันทั้งภายในตัวตน..รวมทั้ง ปัจจัยภายนอกที่บางครั้งก็เกินควบคุมโดยเฉพาะสภาวะ “ไฟมอด” เมื่อสอนๆไปแล้ว...ที่มักมีโอกาสเกิดขึ้นกับครูส่วนใหญ่ได้ตลอดเวลา..

“ครูเรฟ เอสควิท”..คือครูชั้นประถมศึกษา"โรงเรียนโฮบาร์ต"ซึ่งเป็นโรงเรียนขนาดใหญ่อันดับสองของอเมริกา..ส่วนใหญ่นักเรียนโรงเรียนนี้จะเป็นต่างชาติที่ถือสัญชาติอเมริกัน..เป็นกลุ่มเด็กด้อยโอกาส..ซึ่งอาศัยอยู่ในพื้นที่แหล่งเสื่อมโทรม..ย่านลอสแอนเจลิส สหรัฐอเมริกา..ประเทศที่ได้ชื่อว่า..เป็น “ดินแดนแห่งความเท่าเทียม”

แต่ในความเป็นจริง กลับยังมีเด็กด้อยโอกาสจำนวนมากที่ยังขาดโอกาสเข้าถึงการศึกษาอย่างเท่าเทียม

“เรฟ” ถือเป็นตัวอย่างของ “ครูธรรมดา” คนหนึ่งที่อุทิศตนเพื่อที่จะเป็น “ครูแท้” หรือ “ครูแกนนำ”  ที่ไม่ได้ยึดติดตามมาตรฐาน “แกนร่วม” หรือเป็นไปตามสมุดบันทึกกฎระเบียบ “เรฟ”..ได้พิสูจน์ให้ประจักษ์ว่า..ใครๆก็สามารถเป็นครูที่ดีได้..เพียงแค่ “ลงมือทำอย่างมีวินัย”..แน่วแน่ในเป้าหมาย..พร้อมทั้งการสามารถจัดการความขัดแย้งต่างๆ อย่างมีวุฒิภาวะและด้วยความเป็นมิตร..ที่บางคนก็ลืมไปแล้วว่า.. “การสอนที่ดีนั้นเป็นอย่างไร?”

นอกเหนือจากประเด็นแก่นสารทางวิชาการแล้ว “เรฟ” ยังเป็นครูที่สรรค์สร้างคุณค่าทางคุณธรรมให้แก่เด็กๆ..ด้วยการส่งเสริมบุคลิกภาพของความมั่นใจ..ผ่านบทเรียนที่ถือว่าอยู่นอกตำรา..นับแต่ .บทกวี ดนตรี หรือศิลปะเเขนงต่างๆ..อีกทั้งยังเน้นให้เห็นถึงนัยสำคัญในเรื่องของ “ทักษะแห่งชีวิต” โดยก่อนเข้าเรียนในแต่ละวิชา..เขาจะบอกจุดประสงค์ของบทเรียนว่า..จะสามารถนำไปประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวันได้อย่างไร..

เขาจะให้นักเรียนเชื่อมโยงสิ่งที่จะเรียนกับประสบการณ์ในชีวิต เพื่อค้นหาคำตอบ..มากกว่าการเรียนเพื่อท่องจำแต่ไม่รู้จะนำไปใช้ในชีวิตได้อย่างไร..ด้วยวิธีการสอนในลักษณะนี้..สามารถช่วยให้เด็กเกิดทักษะในการประยุกต์ใช้..ซึ่งจะติดตัวไปกับชีวิตเมื่อพ้นอาณาเขตของโรงเรียน..และเติบโตเป็นผู้ใหญ่...เป็นบุคลากรของโลกที่มีคุณภาพต่อสังคม..อย่างแท้จริง..

หนังสือนี้..แบ่งออกเป็น3ตอน..มีทั้งหมดรวม 25 บท..ผ่านกระบวนการเล่าเรื่องที่เน้นถึงการแก้ปัญหาต่างๆ ที่เกิดขึ้นทั้งในและนอกห้องเรียน  นับตั้งแต่  “เรฟ” เข้าสู่อาชีพครู..กระทั่งกลายเป็นครูมืออาชีพผู้โด่งดัง..จนล่วงสู่วัยเกษียณ..

มีคำถามที่ชวนให้ผู้อ่านได้ช่วยกันขบคิดในทุกท้ายบท..เป็นดั่งข้อสรุปที่กินใจและแตกฉาน..โดยผู้อ่านจะไม่ข้ามผ่านนัยประเด็นของหนังสือแต่ละบทไปอย่างเปล่าดาย..นี่คือผลประโยชน์ต่อการพินิจนึก การตั้งคำถามนานา..อันจะเป็นส่วนผลักดันให้จิตวิญญาณของครูได้เกิดขึ้น และ ขยับขยาย ไปสู่การเลือกใช้วิธีการสอนแบบต่างๆในหนังสือเล่มนี้..ไปประกอบสร้างการสอนที่ดีในอาชีพของตนได้ตลอดไป..

“การเป็นครู..นับวันจะเป็นเรื่องที่ยากขึ้นเรื่อยไป ทั้งปัญหาครอบครัว ความยากจน หรือ เทคโนโลยี ที่ดึงความสนใจของลูกศิษย์ไปจากโรงเรียน..เรามักจะพบว่า..นักเรียนถูกส่งมาโรงเรียนโดยที่พวกเขาไม่พร้อมที่จะเรียนรู้..และเมื่อมีเหตุผิดพลาดในห้องเรียน..พวกเขามักถูกตำหนิกับทุกเรื่อง..ครูดีๆที่ผมรู้จักบางครั้งก็พร้อมที่จะลาออก..แต่สุดท้ายพวกเขาก็ยังสู้ต่อ..และนั่นทำให้พวกเขากลายเป็นครูที่ดีได้..การอุทิศและทุ่มเทต่อศิษย์ยังเป็นรูปแบบที่ผมยึดปฏิบัติในห้องเรียนของผม..มีคนถามผมว่า..ทำไมลูกศิษย์ของผมทุกคน..ถึงดูตั้งใจเรียน..นั่นเพราะผมใช้คุณธรรม 6 ระดับในห้องเรียน..และผลักดันให้นักเรียนพัฒนาไปให้สูง...”

คุณธรรม 6 ระดับดังกล่าว..ประกอบด้วย..ระดับที่ 1..เด็กตั้งใจเรียนเพราะไม่อยากมีปัญหา/2.เด็กเรียนเพราะอยากได้รางวัล..เหมือนเป็นการติดสินบน/3.เรียนเพื่อเอาใจครู พ่อ แม่ /4.เรียนเพราะปฏิบัติตามกฏ/5.เรียนเพราะเกรงใจคนอื่น/และ6.เรียนเพราะเชื่อในสิ่งที่ตัวเองยึดถือ..

นอกจากนี้ .ครูยังต้องประพฤติตัวให้เป็นต้นแบบที่ดีของลูกศิษย์ตลอดเวลา..เหตุนี้..การเป็นครูที่ดี..จึงไม่สามารถที่จะถอดใจในการช่วยเหลือลูกศิษย์ได้ตลอดชีวิต “หากมีใครถามว่า..คุณเป็นครูสอนอะไร..ผมจะไม่ตอบว่า..สอนคณิตศาสตร์..หรือภาษาอังกฤษ..แต่ผมจะตอบว่า..เป็นครูสอนนักเรียน..สอนชีวิต..ไม่สอนวิชา ./เรื่องเกรดเฉลี่ยของเด็กนั้น..ไม่สำคัญ เรื่องการแข่งขันก็ไม่สำคัญ..เเต่ครูจำเป็นต้องเน้นเรื่องความเป็นครู..ในนัยที่ว่าการเป็นครูที่ดีนั้น..ต้องไม่ท้อและไม่ยอมแพ้..และจักต้องสอนให้เด็กเติบโตขึ้นมา  ด้วยสำนึกรับผิดชอบและมีคุณธรรมที่ดี..”

เนื่องใน..โอกาสวันครูของปีนี้..ผมขอเลือกหนังสือเล่มนี้มาพูดถึง...ด้วยหวังจะเปรียบเทียบถึงบริบทของ “ครูไทย” ณ วันนี้..ที่กำลังจมปลักอยู่กับภาระงานที่หน่วงหนัก/ข่าวคราวที่ระบบการศึกษไทยรีดเค้นให้เด็กไทยต้องเรียนถึง 9.5 ชั่วโมงต่อวัน/คือสิ่งที่เป็นทั้งความอัปยศและอัปลักษณ์ในวงการศึกษาไทยที่เน้นปริมาณของการยัดเยียดโดยที่คำนึงถึงผลลัพธ์ที่ผู้รับต้องกระอักความรู้สึกตาย/เราหวังอะไรไม่ได้จาก ผู้รับผิดชอบการศึกษาไทยยิ่งในระดับสูงสุดที่มาจากเหล่านักการเมืองผู้คับแคบทั้งโลกทัศน์และชีวทัศน์..

“เรา” เป็นคนสอนคนมา 30 ปี/และผมก็อยู่ในสถานะนี้มาอีกหนึ่งปีจะถึงกึ่งศตวรรษ..ประสบการณ์ร่วมแห่งผัสสะทางการศึกษา..เป็นเกียรติภูมิอันสูงส่งโดยส่วนรวม..หาใช่ราคาค่างวดกลวงๆเฉพาะตัวที่เห็นแก่ตัวของใครๆ.. เด็กๆ..เปรียบดั่งดอกไม้งาม..พวกเขาพร้อมจะผลิบาน เพื่อความเรืองโรจน์ของจักรวาล..ด้วยจิตวิญญาณอันบริสุทธิ์ และ พิสุทธิ์พิศาลเสมอ..ตราบใดที่ครูทุกคนได้ตระหนักร่วมกันว่า.. “ความรู้ย่อมต้องอยู่ในความรัก..หาใช่ความเห็นแก่ตัวที่เป็นส่วนตัวใดๆ”

นี่คือ หนังสือที่วิเศษสุดต่อการเรียนรู้..รับรู้ และ รู้สึก..อันแท้จริง..นับจาก..กาลครั้งหนึ่งนานมา..เติบโตขึ้น..สู่ห้องเรียนต้นฉบับ.. “อุบลรัตน์ เต็งไตรรัตน์” แปลและถอดความหนังสือเล่มนี้ออกมาได้อย่างลึกซึ้งและเข้าใจในส่วนลึกยิ่ง../ “กรรณิการ์ พรมเสาร์”..เป็นบรรณาธิการที่สร้างคุณค่าทางสาระเนื้อหาให้แก่หนังสือเล่มนี้..อย่างเปี่ยมไปด้วยคุณค่า

"ครูแท้แพ้ไม่เป็น ..คือ..การจับเข่าคุยกันของคนเป็นครู..เพื่อให้เขารู้ว่า..ไม่ได้ต่อสู้อยู่เพียงลำพัง..."