เมื่อเวลา 10.00 น. วันที่ 25 ม.ค.67 ที่กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี) นางปวีณา หงสกุล ประธานมูลนิธิปวีณาหงสกุลเพื่อเด็กและสตรี พาตัวแทนผู้เสียหายถูกหลอกลงทุนเทรดหุ้นทั้งในและต่างประเทศ ผู้เสียหายทั้งหมดกว่า 70 ราย มูลค่าความเสียหายกว่า 91 ล้านบาท เข้าพบนายประเสริฐ จันทรรวงทอง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม เพื่อประชุมร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเช่นตำรวจไซเบอร์ ตำรวจกองปราบปราม เร่งดำเนินคดีและหาแนวทางช่วยเหลือเหยื่อผู้เสียหาย พร้อมทั้งหามาตรการกวาดล้างกระบวนการอาชญากรรมทางออนไลน์ที่เป็นภัยร้ายแรงของชาติให้หมดสิ้นไป 

สืบเนื่องจากกลุ่มผู้เสียหายได้รวมตัวกันเข้าร้องทุกข์ต่อนางปวีณา ตั้งแต่วันที่ 17-24 ม.ค. 67 มีตัวเลขความเสียหายกว่า 91 ล้านบาท จำนวนกว่า 70 ราย ส่วนใหญ่จะเป็นนักลงทุนหน้าใหม่ไม่มีประสบการณ์ในตลาดหุ้นจึงถูกชักชวนทางเฟซบุ๊ก ติ๊กต็อก ไอจี ทวิสเตอร์ ต่างๆ ให้เข้าศึกษาเรื่องการเทรดหุ้น โดยใช้รูปของเหล่า อาจารย์ ที่มีชื่อเสียงในวงการตลาดหุ้นไทยมาหลอกลวง และแนะนำให้เปิดพอร์ต การลงทุนกับโบกเกอร์ปลอม โดยจะมีบุคคลที่อ้างเป็นผู้ช่วยอาจารย์ให้ซื้อ-ขายหุ้นตามคำชี้แนะ ให้โอนเงินเข้าบัญชีของโบกเกอร์ปลอมเพื่อนำไปซื้อหุ้นเหยื่อจะหลงเชื่อเนื่องจากตรวจสอบแล้วหุ้นดังกล่าวมีการปรับตัวตามภาวะตลาดจริง แต่เมื่อเหยื่อจะทำการถอนเงินลงทุนก็ไม่สามารถถอนได้จึงรู้ว่าถูกหลอก ซึ่งเป็นที่น่าเป็นห่วงว่าปัจจุบันนี้ยังมีการประชาสัมพันธ์โฆษณาชวนเชื่อจัดการอบรมสัมมนาจากขบวนการหลอกลวงอยู่ในโซเชียลอย่างแพร่หลาย โดยเป็นลักษณะของบริษัทที่ตั้งขึ้นเพื่อการหลอกลวงเกี่ยวกับการลงทุนเทรดหุ้นปลอมทั้งระบบ 

นางปวีณา หงสกุล ประธานมูลนิธิปวีณาหงสกุลเพื่อเด็กและสตรี กล่าวว่า เรื่องนี้ถือเป็นอาชญากรรมออนไลน์ที่ร้ายแรงสร้างความเสียหายทั่วโลก ผู้ตกเป็นเหยื่อสูญเงินจำนวนมหาศาล บางคนต้องกู้เงิน ขายบ้าน เอาบ้านที่ดินไปจำนอง ขายทรัพย์สินเอาเงินมาลงทุนจนหมดตัว หลังเจอปัญหาหลายคนไม่มีเงินให้ลูกเรียน เครียดหนัก จนเป็นโรคซึมเศร้า นอนไม่หลับ คิดฆ่าตัวตาย จึงขอเรียนเสนอ รัฐมนตรี นายประเสริฐ จันทรรวงทอง เพื่อมอบนโยบายดังนี้

(1.) ดำเนินการกวาดล้างแก๊งมิจฉาชีพ อาชญากรรมออนไลน์ทุกรูปแบบให้หมดสิ้นไป  

(2.) ขอให้รัฐบาลได้ประชาสัมพันธ์เตือนภัยให้ความรู้กับประชาชนถึงพฤติกรรมอาชญากรรมออนไลน์ ให้เข้าถึงประชาชนเพื่อไม่ให้ตกเป็นเหยื่ออาชญากรรมออนไลน์อีกต่อไป 

(3.) ขอมอบเอกสาร เหยื่อผู้เสียหายกว่า 70 ราย ให้ท่านรัฐมนตรี ประเสริฐ ได้มอบนโยบายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องติดตามคดีและให้ความช่วยเหลือตามที่ผู้เสียหายร้องขอต่อไป 

วันนี้ นางปวีณา พาตัวแทนผู้เสียหาย 12 ราย จาก 70 ราย เข้าพบรัฐมนตรีประเสริฐ ประชุมร่วมหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งดำเนินคดีและหาแนวทางช่วยเหลือเหยื่อผู้เสียหายกว่า 70 ราย มูลค่าความเสียหายกว่า 91 ล้านบาท พร้อมทั้งหามาตรการกวาดล้างกระบวนการอาชญากรรมทางออนไลน์ที่เป็นภัยร้ายแรงของชาติให้หมดสิ้นไป 

ตัวอย่างผู้เสียหาย 2 ราย ให้รายละเอียดดังนี้ 

1.น.ส.เอ (นามสมมุติ) และผู้เสียหายสูญเงินไปกว่า 8 ล้านบาท ได้ให้ข้อมูลว่า มีความสนใจเรื่องการลงทุนเทรดหุ้นอยู่แล้วและได้พบเห็นโฆษณาสอนการลงทุนเทรดหุ้นทั้งในและต่างประเทศ โดยอาจารย์ชื่อดัง และนักลงทุนที่มีชื่อเสียงเบอร์ต้นๆ ของเมืองไทยในโซเชียล ทั้งในเฟซบุ๊ก ติ๊กต็อก ไอจี ทวิสเตอร์ บางรายมีการเก็บค่าลงทะเบียน แต่บางรายอ้างว่าขอแบ่ง 18 เปอร์เซ็นต์ให้อาจารย์ผู้สอนหลังมีกำไร 

ส่วนพฤติกรรมการหลอกลวงจะสร้างความน่าเชื่อถือ โดยกลุ่มมิจฉาชีพจะสร้างหน้าพอร์ตปลอมขึ้นมาให้เหมือนแอปพลิเคชั่นและให้ผู้เสียหายกดลิงก์โหลดเข้าในมือถือ ดูความเคลื่อนไหวของหุ้นซึ่งเป็นของจริง แต่การโอนเงินไปลงทุนเป็นการโอนเข้าบัญชีม้า และไม่มีการซื้อหุ้นจริง ผู้เสียหายจะเห็นตัวเลขเงินลงทุนและกำไร แต่ไม่สามารถถอนเงินออกมาได้ เมื่อตรวจสอบพบว่าชื่อบัญชีที่โอนเงินไปลงทุนมีหลายแพลตฟอร์ม ปลายทางเป็นชื่อบริษัท และชื่อเจ้าของบัญชีเดียวกัน มีความเชื่อมโยงกัน จึงเชื่อว่าจะเป็นเครือข่ายเดียวกัน ทำเป็นขบวนการ ขณะที่ผู้เสียหายแต่ละคนสูญเงินไปจำนวนมาก ตั้งแต่หลักแสนถึงหลักล้าน บางคนสูงสุด 8-12 ล้านบาท รวมผู้เสียหาย 70 ราย เสียหายกว่า 91 ล้านบาท

2.น.ส.บี (นามสมมุติ) อายุ 50 ปี อาชีพทำธุรกิจส่วนตัว 1 ในผู้เสียหาย ผู้สูญเงินไปเกือบ 2 ล้านบาท กล่าวว่า ตนเองมีความสนใจในการลงทุนเทรดหุ้น และสามีเพิ่งเกษียณจากการทำงานได้เงินมาก้อนหนึ่งจึงอยากลงทุนเพื่อหารายได้ ต่อมาช่วงปลายเดือนส.ค.66 ได้พบเพจเฟซบุ๊กสอนลงทุนซื้อหุ้นฮ่องกงฟรี โดยมีโปร์ไฟล์เป็นรูปเซียนหุ้น ชื่อดังเกี่ยวกับการลงทุนคนหนึ่ง จึงกดเข้าไปทางแอดมินให้แอดไลน์กลุ่มซึ่งมีสมาชิกในห้องเรียน 50 คน มีการส่ง E-book มาให้ศึกษา และใช้ข้อความสอนทางไลน์อาทิตย์ละ 2-3 ครั้ง ซึ่งการสอนจะไม่มีค่าลงทะเบียน 

ตลอดเวลาจะมีสมาชิกในกลุ่มไลน์โน้มน้าวว่าหุ้นตัวนั้นตัวนี้ดีน่าลงทุน จากนั้นจะมีคนที่อ้างตัวเป็นอาจารย์แนะนำคอนแทคให้เป็นโปรกเกอร์และให้แอดไลน์คุยกันพร้อมกดลิงก์โหลดแอปพลิเคชั่นที่เป็นรูปตัว T ในแอปฯ จะสามารถดูหน้าพอร์ต ดูการเคลื่อนไหวของหุ้น และจำนวนเงินเข้าออกเป็นเรียลไทม์ ทำให้ดูน่าเชื่อถือ และอาจารย์จะคอยบอกให้ลงทุนหุ้นตัวที่แนะนำ ซึ่งก็มีกำไรจริง และเคยถอนเงินได้จริง 

แต่พอถอนได้ไม่นานสมาชิกในกลุ่มไลน์ซึ่งคาดว่าจะเป็นหน้าม้าก็จะบอกให้รีบลงทุนหุ้นตัวต่อไปอีก จากลงทุนทีละแสนก็เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ เพราะถูกชักจูงให้ซื้อหุ้นตัวอื่นตลอดเวลา จนตัวเลขในบัญชีมีเงินถึง 3 ล้านบาท ซึ่งเป็นเงินทุน 1.6 ล้านบาท จึงมีความคิดว่าจะถอนเงินออกมา แต่สุดท้ายก็ถอนไม่ได้ และรู้สึกผิดสังเกตว่าทำไมในกลุ่มไลน์สมาชิกทุกคนต่างออกจากกลุ่มกันหมด และบัญชีที่โอนเงินลงทุนไปแต่ละครั้งจะเปลี่ยนชื่อไปตลอดเวลา 

นอกจากนี้ ตนยังได้ไปสอบถามที่โรงแรมแห่งหนึ่งที่อาจารย์เคยบอกว่าจะมีการจัดสัมมนาในอีก 2 เดือนข้างหน้า ปรากฎว่าไม่มีจริง ระหว่างนั้นก็ได้เจอผู้เสียหายรายอื่นๆ ไปสอบถามที่โรงแรมเช่นเดียวกันจึงรู้ว่าถูกหลอกแน่แล้ว ตนจึงได้ไปแจ้งความที่ สภ.พุทธมณฑล จ.นครปฐม ก่อนจะรวมตัวกับผู้เสียหายรายอื่นๆ ตั้งกลุ่มไลน์เพื่อรวบรวมข้อมูลเข้าร้องทุกข์มูลนิธิปวีณาฯ    

โดยในวันนี้  น.ส.เอ ,น.ส.บี  (นามสมมุติ) ตัวแทนผู้เสียหายได้ขอเสนอความช่วยเหลือดังนี้

(1.) ขอให้ธนาคารแห่งประเทศไทยได้ตรวจสอบการโอนเงินระหว่างประเทศของบริษัทที่ตั้งขึ้นมาในหลอกลวงเพื่อการลงทุนเทรดหุ้นที่เชื่อว่ามีการนำเงินที่ถูกหลอกไปลงทุนต่อในตลาดคริปโต บิทคอยน์ ในต่างประเทศเพื่อการฟอกเงินสีเทาให้ถูกกฎหมาย

(2.) ขอให้ธนาคารแห่งประเทศไทย กวดขันการเปิดบัญชีของมิจฉาชีพที่ถูกอายัดแล้ว ไม่ให้เปิดใหม่ได้อีก 

(3.) ขอให้ทุกธนาคาร ส่งเอกสารหลักฐานเส้นทางการเงินให้กับสถานีตำรวจที่รับแจ้งความ เพื่อประกอบสำนวนคดีได้อย่างรวดเร็ว

(4.) ขอให้กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมมีการตรวจสอบการซื้อโฆษณาในสื่อออนไลน์เกี่ยวกับการชักชวนให้ลงทุน แอบอ้างเป็นหน่วยงานต่างๆ และแอบอ้างผู้มีชื่อเสียงในสังคม