ช่วยกันคิด ช่วยกันทำ / ทหารประชาธิปไตย

เมื่อกรุงโรมใกล้จะล่มสลาย กลุ่มประเทศเมืองขึ้นและกลุ่มคนเถื่อนอย่างอติลา หรือพวกคนเถื่อนที่อาศัยอยู่ทางเหนือแถบเยอรมนี รวมทั้งพวกไวกิ้ง ต่างก็ยกกำลังออกมาต่อต้านกองทหารรับจ้างของโรม และในที่สุดกองทหารรับจ้างบางหน่วยก็ทำการกบฏและแข็งข้อต่ออำนาจที่อ่อนแอของโรม จนในที่สุดโรมก็ถูกกลุ่มติดอาวุธเหล่านั้นเข้าทำการโจมตีและยึดโรมได้ในที่สุด นั่นเป็นยุคต้นของการล่มสลายของอาณาจักรอันยิ่งใหญ่ “จักรวรรดิโรมัน”

สหรัฐอเมริกาที่โดดเด่นขึ้นมาเป็นผู้นำโลกภายหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 และกลายมาเป็นผู้นำเดี่ยว ภายหลังจากการล่มสลายของสหภาพโซเวียตก็เช่นกัน แม้ว่าในขณะนี้ยังคงมีอำนาจบารมีทั้งกำลังทหาร และกำลังทางเศรษฐกิจ แต่อำนาจเหล่านั้นก็กำลังร่วงโรยลง และอ่อนแอมากขึ้น จนถูกท้าทายอำนาจทั้งจากจีนและรัสเซีย แต่ยิ่งไปกว่านั้นสหรัฐฯกำลังถูกท้าทายจากประเทศเล็กๆ อย่างเกาหลีเหนือ เยเมน และประเทศมหาอำนาจขนาดกลางอย่างอิหร่าน

นั่นคืออาการสั่นคลอนของการเป็นผู้นำเดี่ยว และโลกกำลังจะแตกออกเป็นสองขั้วในอีกไม่นานนี้

ทว่าคำถามที่สำคัญคือจะเกิดอะไรขึ้นกับการปะทะกันของการแบ่งขั้วแบ่งข้าง เพราะมันมีความเกี่ยวพันกับผลประโยชน์มหาศาลที่โลกตะวันตกเคยได้รับจากการสร้างระบบ ด้วยข้อตกลง Bretton Wood ที่สร้างกลไกให้ขั้วอำนาจนี้สามารถยึดกุมเศรษษฐกิจและกลไกด้านเศรษฐกิจการเงินของโลกไว้ได้ โดยมีกำลังทหารคอยคุ้มกันในนาม “ระเบียบโลกใหม่”

ส่วนการเรียกร้องของผู้ท้าทายอำนาจของตะวันตก ก็เรียกร้องให้จัดระเบียบโลกที่เรียกว่า “ระเบียบโลกยุติธรรมใหม่” “New Fair World Order ”

คราวนี้ลองมาพิจารณาถึงการท้าทายอำนาจของ 3 ประเทศที่จะเป็นปฐมเหตุแห่งการผุกร่อนของจักวรรดินิยมสหรัฐฯ

ประเทศแรกคือ เยเมน ประเทศที่เป็นหนึ่งในประเทศยากจนที่สุดในโลก และเคยถูกภาวะการณ์ที่เรียกว่าวิกฤติทางมนุษยธรรมอย่างร้ายแรง เมื่อต้องเผชิญกับสงครามจาก ซาอุดีอาระเบีย และสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ภายใต้การสนับสนุนของสหรัฐฯ

เยเมนต้องเผชิญกับสงครามถึง 6-7 ปี ภายใต้การนำการต่อสู้ของฮูตี นักรบรองเท้าแตะ แม้ทุกวันนี้ฮูตีจะไม่ได้รับการรับรองอย่างเป็นทางการว่าเป็นรัฐบาลที่ถูกต้องของเยเมน แต่ในทางพฤตินัย ฮูตี และขบวนการอัลซาลุลลอฮ์ก็คือผู้ปกครองที่แท้จริงของเยเมน เพราะยึดครองพื้นที่ได้เกือบทั้งหมด

ฮูตีผงาดขึ้นมาอีกครั้งเมื่อประกาศจุดยืนสนับสนุนการต่อต้านของฮามาส ที่มีต่ออำนาจกดขี่ข่มเหงของอิสราเอล ที่เข้ามายึดครองแผ่นดินปาเลสไตน์ และเข่นฆ่าทารุณ ชนิดที่เรียกว่า “ฆ่าล้างเผ่าพันธุ์” ชาวปาเลสไตน์ เพื่อแย่งยึดดินแดนของชาวปาเลสไตน์

ทั้งนี้ฮูตี สนับสนุนฮามาส ด้วยการโจมตีเรือทุกลำที่จะไปค้าขายกับอิสราเอล หรือสนับสนุนอิสราเอลในการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ในกาซา ก่อความเดือดร้อนและเปิดประเด็นกดดันพวกพันธมิตรกับอิสราเอลให้ตระหนักถึงผลกระทบที่ไปก่อกรรมทำเข็ญและสนับสนุนการเข่นฆ่าอย่างไร้มนุษยธรรมในกาซา จนผู้คนไร้ที่อยู่นับล้าน เสียชีวิตเกือบ 30,000 คน ในจำนวนนี้มีเด็กเกือบหมื่นและผู้หญิงในจำนวนใกล้เคียงกัน

เงื่อนไขประการเดียวที่ฮูตี เรียกร้องก็คือจะหยุดโจมตีเรือที่ผ่านทะเลแดง และช่องแคบ บาบอัลมันเดบทันที หากสหรัฐฯและพันธมิตรสามารถทำให้อิสราเอลหยุดการฆ่าอย่างไร้มนุษยธรรมในกาซา

แต่สหรัฐฯและพันธมิตรโดยเฉพาะอังกฤษกลับเลือกทางตรงข้ามนั่นคือปกป้องอิสราเอลในการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์และใช้วิธีเปิดศึกถล่มเยเมน โดยอ้างว่าจะสร้างความสงบ และเสถียรภาพให้เกิดขึ้นในแถบทะเลแดง

ทว่าผลกลับเป็นไปตรงกันข้าม การโจมตีใหญ่ทั้ง 2 ครั้งของสหรัฐฯและอังกฤษด้วยการทิ้งระเบิดและโจมตีด้วยขีปนาวุธ ทั่วทั้งเยเมน แทนที่จะเกิดความมั่นคงกลับสั่นคลอนมากขึ้น เพราะเยเมนโดยฮูตี แทนที่จะพังพาบ กลับยังคงปฏิบัติการโจมตีเรือในเขตทะเลแดงมากขึ้น แม้แต่เรือรบของสหรัฐฯก็ไม่ละเว้น

ด้านสหรัฐฯที่เคยประกาศจะตั้งกองกำลัง 10 ชาติ เพื่อปกป้องทะเลแดง เอาเข้าจริงก็มีแต่เรือสหรัฐฯ และเครื่องบินสมทบจากอังกฤษเท่านั้น

และหากต้องการจะควบคุมการโจมตีเรือของฮูตี ได้เบ็ดเสร็จก็จะต้องยกกำลังภาคพื้นดินไปจัดการ ทว่าสหรัฐฯก็ยังไม่กล้าดำเนินการเพราะอาจหมายความว่า สหรัฐฯมีโอกาสสูงที่จะติดหล่ม จากสงครามกองโจรที่ยืดเยื้อและบั่นทอนเศรษฐกิจของตนเอง อันเป็นจุดอ่อนของตนในขณะนี้ นี่ไม่ต้องพูดถึงอังกฤษที่มีฐานะย่ำแย่กว่า

นักวิเคราะห์หลายฝ่ายมองว่าการโจมตีของสหรัฐฯ และอังกฤษเป็นเพียงการปฏิบัติการเพื่อแสดงว่าตนยังมีอำนาจทางทหารอยู่ แต่มันก็ไม่ได้ผล เพราะไม่อาจขู่ฮูตีให้หวาดกลัวจนหยุดปฏิบัติการได้

ในทางตรงข้ามถ้าสหรัฐฯเลือกการยุติศึกที่กาซาแทนการก่อสงครามที่เยเมน เหตุการณ์ก็จะคลี่คลายและนำไปสู่การสร้างสันติภาพ และความมั่นคงในภูมิภาค แต่เมื่อสหรัฐฯเลือกวิธีการก่อสงคราม ก็มีแต่ทำให้สงครามขยายตัว และบานปลายออกไปในภูมิภาค

อิหร่านเป็นอีกประเทศที่ท้าทายอำนาจของสหรัฐฯอย่างเปิดเผย แม้จะสงบเงียบไม่กล้าเปิดหน้าชน แต่ใช้กองกำลังที่เรียกว่า “Now State” ไร้สัญชาติปฏิบัติทางทหารต่อต้านสหรัฐฯและอิสราเอลอยู่ในภูมิภาคตะวันออกกลาง

บัดนี้อิหร่านก็ได้เปิดตัวบุกถล่มโจมตีฐานทัพสหรัฐฯ ที่ตั้งอยู่ในซีเรียโดยผิดกฎหมาย ใกล้บ่อน้ำมันของซีเรีย ที่สหรัฐฯในระยะต้นอ้างว่ามาปราบปรามไอซีส แต่เอาเข้าจริงก็รวมหัวกันสูบน้ำมันของซีเรียไปขาย และยังเป็นศูนย์ก่อการร้ายในซีเรีย เพื่อล้มรัฐบาล

นอกจากปฏิบัติการในซีเรีย อิหร่าน และกองกำลังติดอาวุธอีกหลายกลุ่มยังทำการโจมตีฐานทัพของสหรัฐฯ ในอิรักโดยการใช้ขีปนาวุธถล่ม และทำการปิดล้อมทั้งทางบกและอากาศ มิให้มีการส่งกำลังบำรุงเพื่อบีบให้ถอนตัวออกจากอิรัก

นอกจากนี้ยังใช้ขีปนาวุธถล่มสถานกงสุลของสหรัฐฯในอิรัก จนเสียหายยับเยิน ทำให้สหรัฐฯต้องขอให้รัฐบาล อิรักคุ้มครอง แต่รัฐบาลอิรักนอกจากปฏิเสธแล้ว ยังแจ้งว่าต้องการให้สหรัฐฯถอนทหารออกไปเพื่อความสงบภายในประเทศ

ประเทศที่ 3 ที่ท้าทายอำนาจของสหรัฐฯก็คือ เกาหลีเหนือที่นอกจากจะยิงปืนใหญ่ ถล่มพื้นที่ของเกาหลีใต้ โดยสหรัฐฯก็ได้แต่ประณาม แต่เกาหลีเหนือก็ยังคงเดินหน้าทดลองระเบิดนิวเคลียร์ใต้ดิน จนเกิดแผ่นดินไหว 2.3ริกเตอร์ ทำให้เกาหลีใต้หวั่นวิตก แต่ยังไม่พอ เกาหลีเหนือยังประกาศจะทดลองระเบิดนิวเคลียร์ใต้ทะเล ซึ่งนอกจากจะทำให้เกิดแผ่นดินไหวแล้ว ยังจะเกิดสึนามิอีกด้วย ซึ่งจะมีผลรบกวนการซ้อมรบของสหรัฐฯ ญี่ปุ่น และเกาหลีใต้ ในทะเลญี่ปุ่น ที่กำลังจะดำเนินการอยู่

นี่คือสัญญาณของการท้าทาย และเป็นสื่อไปสู่การล่มสลายของขั้วอำนาจ ผู้นำเดี่ยวอย่างสหรัฐฯ และที่สำคัญอาจนำไปสู่การเกิดสงครามใหญ่ได้ในระยะอันใกล้นั่นคือ สงครามโลกครั้งที่ 3 ได้

ประเทศไทยซึ่งตั้งอยู่ในวงล้อมของสงครามในทะเลจีน เมียนมาและปากีสถาน-อิหร่าน จึงควรมีการเตรียมความพร้อมโดยเฉพาะความมั่นคงทางอาหาร มิฉะนั้นหากเกิดสงครามประชาชนจะเดือดร้อนหนัก