"พิธา" คัมแบ็คเข้าร่วมประชุมสภาฯ บ่นเสียดายเวลา 6 เดือนที่หายไป แทงกั๊กหวนนั่ง "หน.ก้าวไกล" จับตา "3 นโยบายเรือธง" ชวนรัฐบาลคิดแผน 2 โครงการเงินหมื่นดิจิทัลฯ แนะไม่จำเป็นต้องกู้มาแจก ไม่หวั่นคดี ม.112 ด้าน "ภูมิธรรม" ยินดี "พิธา" กลับเป็น สส.อีกครั้ง บอกไม่กระทบรัฐบาล ขอ "ฝ่ายค้าน" จับมือร่วมกันทำงานแก้วิกฤติประเทศ ยันไม่มีสัญญาณ "ปรับ ครม." จาก นายกฯ-หน.พรรคร่วม ย้ำ รมต.เท่าที่มีอยู่ ทำงานได้ดีอยู่แล้ว

 ที่รัฐสภา เมื่อวันที่ 25 ม.ค.67 นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ สส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล เดินทางมาถึงรัฐสภาเพื่อเข้าปฏิบัติหน้าที่ สส.เป็นครั้งแรก ภายหลังจากที่ศาลรัฐธรรมนูญสั่งหยุดปฏิบัติหน้าที่ตั้งแต่เมื่อวันที่ 19 ก.ค.2566 ในคดีถือหุ้นสื่อไอทีวี และต่อมาวันที่ 24 ม.ค.ศาลฯได้มีมติ 8:1 วินิจฉัยให้สมาชิกภาพสส.ของนายพิธาไม่สิ้นสุด และไอทีวีไม่ใช่ธุรกิจสื่อมวลชน ส่งผลให้นายพิธาสามารถกลับเข้ามาปฏิบัติหน้าที่สส.ได้ทันที ทั้งนี้บรรยากาศเป็นไปอย่างคึกคัก มีบรรดาแฟนคลับมารอต้อนรับบริเวณหน้าโถงทางเข้า ตลอดจนสส.พรรคก้าวไกล และกองทัพสื่อมวลชนที่มาเฝ้ารอติดตามทำข่าวอย่างเนืองแน่น

 เมื่อถามว่า มีข้อควรระวังอะไรให้นายกรัฐมนตรี และคณะรัฐมนตรี หรือไม่ นายพิธา กล่าวว่า ตนยึดประชาชนเป็นที่ตั้ง และไม่ได้ค้านทุกเรื่อง ค้านเฉพาะสิ่งที่ไม่ถูกต้อง หรือค้านเพื่อจะแนะนำ และยังเชื่อว่ามีวาระเพื่อประชาชนอีกมากมาย โดยไม่ต้องคำนึงว่ามาจากพรรคไหน เช่น เรื่องสมรสเท่าเทียม หรือเรื่องพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) อากาศสะอาด เราเชื่อว่ายังทำงานการเมืองอย่างสร้างสรรค์ได้

 เมื่อถามว่า จะมีการจับตาโครงการแลนด์บริดจ์เป็นพิเศษหรือไม่ นายพิธา กล่าวว่า จะจับตาเป็นพิเศษ เพราะในช่วงที่ตนถูกสั่งให้หยุดปฏิบัติหน้าที่ ตนได้สังเกต ว่าโครงการเรือธงของรัฐบาลมี 3 โครงการ ได้แก่ 1. ดิจิทัลวอลเล็ต 2. โครงการแลนด์บริดจ์ 3. ซอฟต์พาวเวอร์ ซึ่งมีหลายเรื่องที่เราเห็นตรงกัน แต่ก็มีอีกหลายเรื่องที่เราต้องพูดคุยกันเป็นพิเศษ จะต้องมองในมุมกว้างและลึก และดูว่าทางเลือกและเป้าหมายคืออะไร

 เมื่อถามว่าโครงการดิจิทัลวอลเล็ตดูเหมือนจะเป็นเป้าหมายหลักของพรรคก้าวไกลในการตรวจสอบรัฐบาล มองเรื่องนี้อย่างไร นายพิธา กล่าวว่า ตนมีความเห็นว่าประชาชนเดือดร้อนพอสมควร เศรษฐกิจโตช้า ซบเซามาเป็นเวลานาน ธนาคารกสิกรวิเคราะห์ว่าเศรษฐกิจอาจจะโตช้าในรอบ 10 ปี ซึ่งไม่ใช่ความผิดของรัฐบาลในชุดปัจจุบันที่เพิ่งเข้ามาบริหารเพียง 6 เดือน แต่เป็นสิ่งที่เป็นปัญหามาจากการเมืองไทยที่ศูนย์หายมากว่า 10 ปี และไม่มีการปรับโครงสร้างทำให้เราโตช้ามาก แต่ขณะเดียวกันตนกังวลว่าการกระตุ้นเศรษฐกิจระยะสั้น ด้วยการใช้งบประมาณระยะยาวทำให้ไม่มีพื้นที่การคลัง ในการแก้ไขปัญหาระยะยาว หรือพื้นที่ในแบบอื่นก็ไม่ได้เป็นทางที่เหมาะสม

 เพราะฉะนั้นอยากชวนรัฐบาลคิดแผน 2 ในกรณีสิ่งที่หาเสียงมา ที่ไม่ผ่าน อยากให้ลองคิดว่าการกระตุ้นเศรษฐกิจจากฐานรากขึ้นมา อย่าดูถูกรายละเอียดและโครงการเล็กๆ พอมาทำรวมกันพลังเศรษฐกิจจะระเบิดขึ้นมา ไม่จำเป็นต้องเป็นโครงการแจกเงินผ่านดิจิทัลฯ จากบนลงล่างอย่างเดียวล่างขึ้นบนก็อาจจะสามารถช่วยให้ตรงจุด เมื่อมารวมกันก็จะเกิดเศรษฐกิจที่ดีเช่นเดียวกัน และประหยัดงบประมาณ ไม่ต้องกู้ และไม่ต้องสร้างภาระการคลังเพิ่มขึ้น พอมาอภิปรายงบประมาณก็จะน้อยลงทุกปีๆ นายพิธา กล่าว
 เมื่อถามถึงกรณีที่ศาลรัฐธรรมนูญจะนัดฟังคำวินิจฉัยในคดีนโยบายแก้ ม.112 ของพรรคก้าวไกล มีความกังวลบ้างหรือไม่ นายพิธา กล่าวว่า เหมือนตอนคดีความรู้สึกเหมือนตอนคดีไอทีวี เราแยกแยะได้ว่าอะไรควบคุมได้หรือไม่ได้ ทั้งนี้ ส่วนที่เราควบคุมได้เราก็ได้ทำเต็มที่
 เมื่อถามว่าศาลรัฐธรรมนูญยังมีกรณีที่ค้างการพิจารณาอยู่จะเป็นหัวเชื้อให้เกิดอุบัติของพรรคก้าวไกลหรือไม่ นายพิธา กล่าวว่า ความรู้สึกก็คงจะเหมือนกับคดีไอทีวี เราแยกแยะได้ว่าอะไรควบคุมได้และไม่ได้ อะไรที่ควบคุมได้เราทำเต็มที่ จึงทำให้เรามั่นใจ
 เมื่อถามว่าในฐานะฝ่ายค้านมั่นใจหรือไม่ว่านายกฯ จะมาตอบคำถามด้วยตัวเอง นายพิธา กล่าวว่า ตนคิดว่าเวลาที่จะคาดหวังอะไรกับใคร ก็ต้องนำมาใช้กับตัวเองด้วย วันหนึ่งที่เราเข้าไปเป็นรัฐบาลเป็นนายกฯ ก็ต้องกลับเข้ามาตอบกระทู้ด้วยตัวเอง ก็หวังว่าถ้าเป็นบรรทัดฐานที่วางไว้ให้กับตัวเองก็จะคาดหวังสิ่งนี้กับคนอื่นเช่นเดียวกัน

 เมื่อถามว่าในใจเล็งอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาลช่วงไหน นายพิธา กล่าวว่า ถ้าตอบเขาก็รู้หมด ตอนนี้มีข้อมูลเข้ามาเรื่อยๆ ผ่านช่องทางดิจิทัลฯ และการลงพื้นที่ก็จะมีคนนำข้อมูลมาให้ในเรื่องเกี่ยวกับความประพฤติมิชอบ เรื่องคอร์รัปชั่น ความล้มเหลวในการใช้งบประมาณแผ่นดิน ก็จะเตรียมข้อมูลไปเรื่อยๆ และจะดูจังหวะอีกทีเพื่อความเหมาะสมว่าจะใช้บาซูก้าเลยหรือจะใช้แค่แนวรบแบบ 151 152 คงต้องดูจังหวะอีกครั้ง ยืนยันว่าการทำงานของฝ่ายค้านล้มรัฐบาลอย่างเดียว แต่เพื่อเอาผลประโยชน์ของประเทศชาติและภาษีของประชาชนเป็นหลัก

 เมื่อถามว่ากลับมาครั้งนี้จะสร้างสีสันให้สภาในการเป็นฝ่ายค้านหรือไม่ นายพิธา กล่าวว่า คงเอาสาระเป็นหลัก สีสันเป็นรอง เพราะหมดเวลาทำการเมืองแบบวาทกรรมฉาบฉวย เน้นการทำงานลงลึก และทำงานเรื่องสาระ ที่สำคัญเราจะทำให้เรื่องที่เป็นสาระแล้วประชาชนคนธรรมดาทั่วไปเข้าใจได้อย่างไร ถือเป็นศิลปะของคนเป็นผู้แทนฯ ที่จะนำเอาเรื่องยากๆ เช่น ญัตติ AI ที่เกี่ยวของกับปัญญาประดิษฐ์ มันเกี่ยวข้องกับชาวบ้านและคนเดินดินกินข้าวแกงอย่างไร ตนคิดว่าเรื่องนี้เป็นสิ่งที่จะต้องใช้ศิลปะในการนำเสนอ สาระย่อมสำคัญกว่าวาทกรรม
 ทั้งนี้ ก่อนที่นายพิธาจะเดินออกจากวงสัมภาษณ์ไป ผู้สื่อข่าวได้ถามว่า เข้าสภาฯ รอบนี้ ไม่ออกแล้วใช่หรือไม่ นายพิธา กล่าวติดตลกว่า ถ้าจะออก ก็ออกไปทำเนียบรัฐบาลอย่างเดียว

 ที่ทำเนียบรัฐบาล นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรี และรมว.พาณิชย์ ให้สัมภาษณ์ถึงการนัดทานอาหารกับพรรคร่วมรัฐบาล ว่า เป็นการเข้ามาทานข้าวร่วมกันและพูดคุยถึงการทำงานในช่วงที่ผ่านมาว่ามีอุปสรรคหรือปัญหาอะไร ก็จะได้ช่วยกันแก้ไขปัญหากันไป ไม่มีอะไร เป็นการกินข้าวกันตามปกติ ไม่ได้ตั้งใจจะไปทำอีเว้นท์หรือแถลงข่าว ส่วนการนัดทานข้าวในครั้งต่อไปคงจะไปคุยกันในที่ประชุมว่าใครพร้อมก็รับไป ครั้งที่แล้วพรรคเพื่อไทยเป็นเจ้าภาพ ครั้งนี้ก็เป็นพรรคภูมิใจไทย ไม่ใช่เรื่องที่ต้องแข่งขันว่าใครจะทำก่อน ต้องดูความพร้อม
 ผู้สื่อข่าวถามว่า มีประเด็นอะไรที่จะไปคุยในวงหารือวันนี้หรือไม่ นายภูมิธรรม กล่าวว่า ในฐานะพรรคแกนนำ เรารับฟังเสียงสะท้อนของพรรคร่วม และโดยรวมที่เห็นถือว่าทำงานด้วยกันมาด้วยดี อาจมีอุปสรรคติดขัดบ้างถือเป็นเรื่องธรรมดาในการทำงาน พอมีเรื่องติดขัดก็สื่อสารทำความเข้าใจก็ทำงานร่วมกันได้ดี อย่างที่เรียนว่าพรรคร่วมรัฐบาลครั้งนี้ไม่เหมือนพรรคร่วมรัฐบาลที่ผ่านมา เป็นพรรคร่วมรัฐบาลที่จัดขึ้นตามสถานการณ์ที่จะเข้ามาช่วยกันแก้ไขวิกฤติของประเทศ เราผ่านอุปสรรคความยากลำบาก ผ่านความทุกข์ยากในการจัดตั้งรัฐบาลครั้งนี้มาด้วยกัน จึงมีความเข้าอกเข้าใจกันมากกว่าส่วนอื่น 

 เมื่อถามว่า หากมีบางพรรคหยิบยกเรื่องของการปรับคณะรัฐมนตรี (ครม.)ขึ้นมาพูดคุย นายภูมิธรรม กล่าวว่า ไม่น่าจะมีใครหยิบยกขึ้นมาพูด และไม่เคยพูดเรื่องนี้กันเลย การปรับครม. เป็นเรื่องจากข้างนอกพูดกันทั้งนั้น ส่วนในพรรคเราพูดคุยกันอย่างรู้สึกขำว่า ทำไมถึงอยากให้ปรับบ่อย เพราะมีข่าวมาเรื่อย แต่เรื่องนี้ยืนยันไม่มีสัญญาณอะไรเลยจาก นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี และรมว.คลัง ซึ่งพูดย้ำหลายครั้ง รวมถึงผู้นำและหัวหน้าพรรคการเมืองแต่ละพรรคการเมืองที่ตนได้พบก็พูดคุยกันดี และมองว่าทำไม ถึงมีคนไปเสนอข่าวข้างนอกว่าเราจะปรับครม. ยืนยันหนักแน่นว่าไม่มี และไม่ต้องเอาประเด็นนี้ถามอีก

 เมื่อถามย้ำว่า อาจเป็นเพราะยังมีเก้าอี้ว่างอยู่ 2 ตำแหน่ง นายภูมิธรรม กล่าวว่า ตำแหน่งที่ว่างก็ไม่ใช่สาระสำคัญ การทำงานขณะนี้มีความพร้อมก็ไม่ต้องไปปรับอะไร และการปรับครม.อยู่ในอำนาจของนายกฯ
 ผู้สื่อข่าวถามว่า การทำงานของรัฐมนตรี ที่มีไม่ครบ 36 คน ถือว่าไม่หนักเกินไปใช่หรือไม่ รองนายกฯ กล่าวว่า พวกเรายินดีทำงานหนักอยู่แล้ว เราช่วยเหลือกัน ก่อนหน้านี้มีข่าวว่า จะมีรัฐมนตรีของกระทรวงพาณิชย์ เพิ่มอีก 1 คน ก็ไม่มีปัญหาอะไร แบ่งกันทำงาน 2 คน แต่ถ้ามี 3 คน ก็ช่วยกันให้เบาขึ้นเท่านั้น ไม่ได้รู้สึกหนักว่าทำงานไม่ได้ แต่หากได้คนที่เหมาะสมกับตำแหน่งหน้าที่ที่เหลืออยู่ ส่วนใดที่ยังมีกำลังคนไม่เพียงพอ ก็อาจจะเข้าไปตรงนั้นก็ได้ ขอย้ำว่ารัฐมนตรีเท่าที่มีอยู่เวลานี้ก็ทำงานกันได้ดีมาก และวันนี้ไปทานข้าวก็จะรู้ว่าดีหรือไม่ดี