เมื่อเวลา 09.00 น. วันที่ 29 ม.ค.67 ที่ศาลแขวงพระนครเหนือ ศูนย์ราชการ ถนนเเจ้งวัฒนะ ศาลนัดฟังคำพิพากษาคดีที่ น.ส.อัญชะลี ไพรีรัก (อดีตพิธีกรช่องท็อปนิวส์) และ นายกนก รัตน์วงศ์สกุล พิธีกรช่องท็อปนิวส์ ได้ยื่นฟ้อง น.ส.รักชนก ศรีนอก สส.กทม. เขตบางบอน-หนองแขม พรรคก้าวไกล ในความผิดฐาน “หมิ่นประมาท” กรณีที่น.ส.รักชนก เข้าร่วมชุมนุมทางการเมืองทำกิจกรรมที่หน้าศาลอาญา และได้พูดใส่ความ 2 พิธีกรข่าว ด้วยข้อความอันเป็นเท็จต่อบุคคลที่สามด้วยการตะโกนพูดกับ ผู้สื่อข่าว ที่กำลังรายงานสดการชุมนุมถ่ายทอดออกอากาศ ลักษณะเป็นพิธีกรยุยงปลุกปั่นให้ประชาชนเกลียดกันเอง นำเสนอเฟคนิวส์ (ข่าวเป็นเท็จ) ทุกอย่าง ข้อความดังกล่าวเป็นเท็จ ไม่เป็นความจริง เมื่อ 6 มีนาคม2564 ของกลุ่มรีเด็ม ที่บริเวณหน้าศาลอาญา 

โดยในวันนี้ จำเลยเดินทางมาศาลเพื่อฟังคำพิพากษาในเวลา 09.00 น. น.ส.รักชนก ได้ออกมาให้สัมภาษณ์ภายหลังฟังคำพิพากษาว่า วันนี้ศาลมีคำพิพากษายกฟ้องโจทก์ ศาลบอกว่าคำพูดอาจจะมีความหยาบคายอยู่บ้างแต่ว่าได้พิเคราะห์พิจารณาแล้วว่าเป็นการติชมโดยสุจริต ซึ่งคดีนี้โจทก์ทั้ง2ได้เรียกค่าเสียหายมาคนละ10 ล้านบาทศาลก็พิพากษาว่าในเมื่อไม่มีความผิดทางอาญาก็พิพากษาให้ไม่ต้องจ่ายค่าเสียหายทางเเพ่ง

ส่วนที่ถามว่าเราเสื่อมเสียชื่อเสียงจากคดีนี้หรือไม่ตนมองว่าเป็นการปิดปากมากกว่า ก่อนหน้านั้นที่เรายังไม่ได้เป็น สส.เราเป็นประชาชนเรารู้สึกว่าเราก็พูดในฐานะประชาชนคนหนึ่งที่เรียกร้องให้สื่อทำหน้าที่ของตัวเองอย่างตรงไปตรงมา เพราะในการที่เราจะรับรู้เรื่องเรื่องนึงแล้วส่งต่อไปทั่วประเทศ สื่อคือตัวกลางสำคัญในการส่งต่อไปให้ประชาชน สื่อมีความสำคัญต่อระบบประชาธิปไตยเป็นอย่างมาก ถ้าสื่อไม่ทำงานอย่างตรงไปตรงมา ไม่นำเสนอตรงไปตรงมาแล้วทำตัวเป็นสิ่งที่สร้างความชอบธรรมให้รัฐ สามารถใช้ความรุนแรงให้กับประชาชนได้ ยกตัวอย่างเช่นเหตุการณ์ปี 53 หรือว่าเหตุการณ์ปี 63-64 ที่ผ่านมาถ้าสื่อสร้างความชอบธรรมให้กับตำรวจสามารถใช้ความรุนแรงกับประชาชนได้คือประเทศนี้ประชาชนก็ไม่รู้จะไปพึ่งพาใครแล้ว ถ้าสื่อไม่ทำหน้าที่นี้ดังนั้นเราก็รู้สึกว่าในวันที่เราพูดไปแล้วก็ยืนยันว่าเป็นการวิพากษ์วิจารณ์โดยสุจริตวันนี้ผลคำพิพากษาก็ออกมาตามนั้น อยากให้คำพิพากษาในคดีนี้ได้ใช้เป็นบรรทัดฐานในการพิพากษาคดีอื่นๆที่ประชาชนได้วิพากษ์วิจารณ์สื่อออกไป

เพราะว่าตนคิดว่าในเมื่อสื่อมีพื้นที่มากมายในการที่นำเสนอข่าวและวิพากษ์วิจารณ์สถานการณ์บุคคลอย่างตรงไปตรงมาก็ควรที่จะถูกตั้งคำถามแล้วก็วิพากษ์วิจารณ์โดยสุจริตได้เช่นเดียวกันยังไงก็ขอเป็นกำลังใจให้สื่อมวลชนทุกคนที่ทำหน้าที่นำเสนอข่าวอย่างตรงไปตรงมาให้เจริญก้าวหน้าในหน้าที่การงานและขอให้ในอนาคตเรามีสังคมที่เป็นประชาธิปไตยมีเสรีภาพสื่อที่เรียกว่าเป็นเสรีภาพสื่อจริงๆในด้านแรงงานภาคสื่อมวลชนทุกคนอยากให้ได้รับสวัสดิการที่มันดีขึ้นตรงไปตรงมามีกฎหมายที่คุ้มครองรองรับในวันที่เรียกว่าเราบาดเจ็บหรือว่ามีอุบัติเหตุเกิดขึ้น 

เมื่อถามว่าอย่างเรื่องของเสรีภาพสื่อจะมีการไปเสนอญัตติอะไรในที่ประชุมสภาหรือไม่ น.ส.รักชนก กล่าวว่าเราพยายามผลักดันเรื่องนี้ก็คงกลับไปวางแผนกันว่าเอาคดีนี้สามารถไปต่อยอดให้เป็นแนวทางของคดีอื่นๆหรือสามารถเอาไปเป็นวัตถุดิบที่เอาไปทำไรได้บ้าง ส่วนเรื่องฟ้องกลับ จริงๆแล้วตั้งแต่เป็น ส.ส.ก็ตั้งใจไว้ว่าจะไม่คงไม่ฟ้องประชาชนไม่ฟ้องสื่อไม่อยากใช้วิธีการปิดปากที่รัฐทำกับประชาชนเราคงไม่อยากเข้ามามีอำนาจแล้วก็ไปฟ้องนอกจากคดีนี้กับคู่กรณีคดีอื่นก็ไม่มีเเล้ว 

ที่ศาลยกฟ้องในวันนี้ก็ไม่กังวลแล้วรู้สึกโล่งอก เรารู้สึกว่าการมีคดีความต่างๆที่เป็นคดีฟ้องปิดปากมันเป็นเหมือนแมลงหวี่ที่สร้างความรบกวนทำให้เราพลาดภาระงานมาเพื่อมานั่งฟังคำพิพากษาก็รู้สึกโล่งใจก็ดีแล้วที่จะไม่ต้องมาศาลบ่อยๆ

ส่วนคดีความตอนนี้ก็เหลือแค่การยื่นอุทธรณ์คดี112 ขอบคุณศูนย์ทนายเพื่อสิทธิมนุษยชนมากๆที่ให้การดูแลตลอดรวมถึงกองทุนราษฎรฯที่เสนอจะมาประกันตัวให้ถ้าสมมติว่ามีคำพิพากษาออกมาไม่เป็นคุณก็ขอบคุณทนายทุกคนที่อยู่ในศูนย์ทนายสิทธิ์ที่ทำงานกันอย่างเต็มที่ แล้วก็ทำให้ประชาชนคนหนึ่งที่วันนั้นเราไม่ได้มีตำแหน่งไม่ได้มีหน้าที่ไม่มีทุนทรัพย์ในการต่อสู้คดีทำให้เราได้รับความยุติธรรมได้ ถึงแม้ว่าจะเป็นความยุติธรรมที่ล่าช้าแต่ว่าก็ขอบคุณทนายจริงๆที่อยู่กับเรามาตลอดต่อสู้เคียงบ่าเคียงไหล่ประชาชนที่ไม่มีทางสู้มาตลอดคดีนี้สู้กันมาตั้งเเต่ปี 2563

 

#ไอซ์รัชนก #ศาลยกฟ้อง #ม112