คุยเฟื่องเรื่องต่างประเทศ/ ดร.วิวัฒน์ เศรษฐช่วย

แทบไม่น่าเชื่อเลยว่า การแข่งขันไพรมารี (Primary Election) ในการเลือกเฟ้นเพื่อเข้าไปเป็นตัวแทนของทั้งสองพรรคยักษ์ใหญ่ นั่นก็คือ “พรรครีพับลิกัน”และ “พรรคเดโมแครต” สิ้นสุดลงไปอย่างรวดเร็วที่สุดในประวัติศาสตร์การเลือกตั้งของสหรัฐฯ

สืบเนื่องมาจากนักการเมืองของพรรครีพับลิกัน 12 คน ที่แรกเริ่มเดิมทีหวังจะได้เป็นตัวแทนของพรรคต่างทยอยยกธงขาวโบกมือบ้ายบายไปแล้วที่รัฐนิวแฮมป์เชียร์ ที่ตั้งอยู่ชายฝั่งตะวันออกของสหรัฐฯ ซึ่งเป็นรัฐที่สองที่มีการแข่งขัน

โดยบรรดาคู่แข่งขันทั้ง 12 คนของ “อดีตประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์” ต่างยอมแพ้อย่างง่ายดายแบบที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนในประวัติศาสตร์การเมืองสหรัฐฯ และเมื่อตัดสินใจที่จะยอมถอยแล้ว พวกเขาต่างก็หันไปป่าวประกาศว่า จะสนับสนุนอดีตประธานาธิบดีทรัมป์ในทุกๆรูปแบบอย่างเต็มที่อีกด้วย!!!

ช่างน่าแปลกที่เพราะเหตุใดบรรดาสมาชิกที่สังกัดในค่ายพรรครีพับลิกันส่วนใหญ่แล้วต่างสนับสนุนอดีตประธานาธิบดีทรัมป์ ทั้งๆที่ขณะนี้เขากำลังโดนข้อหา 4 คดีอาญา ที่รวมทั้งหมดถึง 91 กระทง

ดังนั้นหากปรากฏการณ์ที่กำลังเกิดขึ้นมานี้ ไม่มีการเปลี่ยนแปลงพลิกผัน การแข่งขันเลือกตั้งในตำแหน่งประธานาธิบดีเพื่อจะก้าวเข้าสู่ทำเนียบขาว ก็จะเป็นการแข่งขันรีแมตช์ระหว่าง “ประธานาธิบดีโจ ไบเดน” กับคู่แข่งคนเก่าก็คือ อดีตประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ นั่นเอง

สำหรับชัยชนะอย่างถล่มทะลายของประธานาธิบดีทรัมป์ ที่นิวแฮมป์เชียร์ เมื่อวันอังคารที่ 23 มกราคม 2024 นับว่าสร้างความโล่งอกให้แก่ค่ายพรรคเดโมแครตของประธานาธิบดีโจ ไบเดน ไม่น้อยทีเดียว เพราะว่าสำนักหยั่งเสียงแทบทุกๆแห่งต่างลงความเห็นในทำนองที่เหมือนๆกันว่า หาก “อดีตผู้ว่าฯนิกกี เฮลลีย์” เข้าไปเป็นตัวแทนของพรรครีพับลิกันโอกาสที่ประธานาธิบดีโจ ไบเดน จะเอาชนะเธอได้นั้นค่อนข้างยากลำบากหืดแทบจะขึ้นคอ ดังจะเห็นได้จากผลการหยั่งเสียงของสถานีโทรทัศน์ซีบีเอส ที่เปิดเผยเมื่อวันอาทิตย์ที่ 14 มกราคม 2024นี้ว่า คะแนนนิยมของผู้ว่าฯนิกกี เฮลีย์  เหนือกว่าประธานาธิบดีโจ ไบเดน อยู่ที่ 53% ต่อ 45% และคะแนนนิยมของอดีตประธานาธิบดีทรัมป์ เหนือกว่าประธานาธิบดีโจ ไบเดนอยู่ที่ 48% ต่อ 50% ด้วยเช่นกัน!!!

น่าแปลกที่ดูเหมือนว่าขณะนี้บรรดานักการเมืองในค่ายพรรคเดโมแครตต่างชะล่าใจพากันเชื่อว่า ชาวอเมริกันคงจะไม่หน้ามืดตามัวเลือกอดีตประธานาธิบดีทรัมป์ ที่ตลอดเวลาถูกตราหน้าว่าเป็นคนอันธพาล ชอบก้าวร้าย แถมยังชอบใช้ความรุนแรง

แต่ในทางกลับกันก็ต้องไม่ลืมว่า ประธานาธิบดีโจ ไบเดน ก็มีจุดอ่อนมากมายด้วยเช่นกัน อาทิเช่น อายุอานามของเขาที่คนอเมริกันส่วนใหญ่เล็งเห็นว่า แก่เกินไปที่จะนั่งอยู่ในตำแหน่งประธานาธิบดีในสมัยที่สองที่จะมีเวลานานถึงสี่ปีอีกทั้งชาวอเมริกันยังมีความรู้สึกไม่ค่อยมั่นใจเกี่ยวกับการแก้ไขปัญหาทางด้านเศรษฐกิจที่ผ่านๆมาของประธานาธิบดีโจ ไบเดน แต่จากการสำรวจครั้งล่าสุดของ “โจแอนน์ ชู” ผู้อำนวยการฝ่ายสำรวจผู้บริโภค ณ มหาวิทยาลัยมิชิแกน ที่เธอได้ออกมาเปิดเผยว่า ตั้งแต่เริ่มแรกของเดือนมกราคม 2024 เป็นต้นมา ดูเหมือนว่าชาวอเมริกันเริ่มมีความเชื่อมั่นต่อการปฏิบัติงานของประธานาธิบดีโจ ไบเดน มากเพิ่มขึ้นแล้ว

อีกทั้งเมื่อเร็วๆนี้ “นีล ดัตตา”นักเศรษฐศาสตร์จาก “ศูนย์วิจัย Renaissance Macro” ได้ออกมาให้สัมภาษณ์ว่า การฟื้นตัวในความเชื่อมั่นของชาวอเมริกัน อาจจะมีส่วนช่วยประธานาธิบดีโจ ไบเดนได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเกี่ยวกับความเชื่อมั่นของผู้บริโภค อีกทั้งขณะนี้จำนวนของคนว่างงานอยู่ในอัตราต่ำ ราคาน้ำมันเชื้อเพลิงก็อยู่ในระดับปานกลาง และตลาดหุ้นก็เพิ่งทำสถิติใหม่

ส่วน “เรย์ แฟร์”  นักเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยเยล ได้ออกมาบ่งชี้ว่า ขณะที่ภาวะเศรษฐกิจยังคงแข็งแกร่งทรงตัวโอกาสที่ประธานาธิบดีโจ ไบเดน สามารถจะรักษาตำแหน่งเอาไว้ได้อยู่ที่ 50:50

ดูเหมือนว่าการเมืองของสหรัฐฯในขณะนี้กำลังเข้าสู่โหมดการแข่งขันที่มีความเข้มข้นสูงขึ้นทุกทีๆ สืบเนื่องมาจาก อดีตประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ได้รับการสนับสนุนจากคนผิวขาวที่กอปรด้วยชาวอเมริกันถึง 75% แม้ว่านโยบายของเขามุ่งเน้นชูธงการปกครองแบบเผด็จการก็ตาม แต่น่าแปลกที่กลับได้เสียงตอบรับจากชนชาวผิวขาวอย่างท่วมท้นล้นหลาม!!!

และหากว่าอดีตประธานาธิบดีทรัมป์ ได้รับเลือกให้เป็นตัวแทนของพรรครีพับลิกัน เพื่อเข้าไปแข่งขันกับประธานาธิบดีโจ ไบเดน ที่ชูธงในระบอบประชาธิปไตย ก็นับว่าเป็นปรากฎการณ์แปลกใหม่ที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนในการเมืองของสหรัฐอเมริกา

อย่างไรก็ตามในการแข่งขันไพรมารี ที่รัฐนิวแฮมป์เชียร์ เมื่อวันที่ 23 มกราคม 2024 นี้ผู้ว่าฯนิกกี เฮลีย์ แห่งรัฐเซาท์แคโรไลนา คู่แข่งคนสำคัญของประธานาธิบดีทรัมป์ ได้กล่าวโจมตีอย่างรุนแรงอาทิ ประธานาธิบดีทรัมป์เป็นคนอันธพาลและจอมโกหก แถมยังไม่มีคุณสมบัติเหมาะสมที่จะได้รับเลือกเข้าสู่ทำเนียบขาวในวันที่ 5 พฤศจิกายน 2024 นี้

และเมื่อวันจันทร์ที่แล้วจากการที่ประธานาธิบดีทรัมป์ ได้รับชัยชนะในการแข่งขันไพรมารี ที่รัฐไอโอวา อย่างถล่มทลายถือเป็นตัวจุดประกายสำคัญว่าเขามีโอกาสที่จะชนะอดีตผู้ว่าฯนิกกี เฮลีย์ ได้อย่างไม่ยากเย็นนัก

อีกทั้งการออกมาเอ่ยปากประกาศสนับสนุนอดีตประธานาธิบดีทรัมป์ของ “วุฒิสมาชิกทิม สก๊อตต์”เมื่อไม่นานมานี้ คงจะสร้างเจ็บปวดมากเป็นพิเศษต่อผู้ว่าฯนิกกี เฮลีย์ เพราะเธอเป็นผู้แต่งตั้งทิม สก๊อตต์ ให้เข้าดำรงตำแหน่งวุฒิสมาชิกแทนตำแหน่งที่ว่างลง ซึ่งทำให้เราเห็นสัจจธรรมในแวดวงการเมืองได้อย่างเด่นชัดว่า การเดินวนเวียนอยู่ในเส้นทางการเมืองไม่มีการเป็นหนี้บุญคุณที่ต้องทดแทนต่อใคร แถมยังไม่มีคำว่า มิตรและศัตรูที่ถาวร

อนึ่งจากชัยชนะไพรมารีอย่างถล่มทลายของประธานาธิบดีทรัมป์ ในรัฐไอโอวา เมื่อวันจันทร์ที่ 15 มกราคม 2024  ที่ได้กลายเป็นที่คาดการณ์กันว่า ประธานาธิบดีทรัมป์คงจะชนะอย่างขาดลอยในการเลือกตั้งที่รัฐนิวแฮมป์เชียร์ ในวันอังคารที่ 23 มกราคมนี้  ซึ่งถือว่าบรรดาสำนักหยั่งเสียงสามารถประเมินผลได้อย่างแม่นยำ เพราะประธานาธิบดีทรัมป์ก็ได้รับชัยชนะในรัฐนี้ได้จริงๆ ที่แม้ว่าจะมีคะแนนนำไปไม่มากก็ตามและจากรายงานของสำนักข่าวเอพีล่าสุดที่มีการนับคะแนนแล้วเสร็จ 67% ปรากฏว่าประธานาธิบดีทรัมป์กำลังนำอยู่ 54% ต่อ 44%!!!

แต่ดูเหมือนว่า ผู้ว่าฯนิกกี เฮลีย์ ยังคงไม่ยอมยกธงขาว ต้องการที่จะเดินหน้าสู้ต่อไป

ทั้งนี้วันแข่งขันครั้งสำคัญที่สุดระหว่างประธานาธิบดีทรัมป์ แล ะผู้ว่าฯเฮลีย์ ก็คงจะเป็นวันที่ 5 มีนาคม 2024 นี้ โดยจะเรียกวันนั้นว่า “ซุปเปอร์ทิวส์เดย์” ที่จะมีการแข่งขันในรัฐต่างๆรวม 16  รัฐ อันได้แก่  รัฐ Alabama, Arkansas, Alaska, California, Colorado, Iowa, Maine, Massachusetts, Minnesota, North Carolina, Oklahoma, Tennessee, Texas, Utah, Vermont และรัฐ Virginia

ทั้งนี้เมื่อดูแนวโน้มแล้วโอกาสที่ประธานาธิบดีทรัมป์จะได้รับเลือกเข้าไปเป็นตัวแทนของพรรครีพับลิกันนั้น มีค่อนข้างสูง แต่กระนั้นก็ตามอยู่ที่ว่า เขาจะเลือกใครในตำแหน่งรองประธานาธิบดี

กล่าวโดยสรุปทั้งนี้และทั้งนั้นโอกาสที่ “ประธานาธิบดีโจ ไบเดน”กับ “ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์”จะรีเทิร์น หวนกลับมาลงแข่งขันต่อสู้กันอีกในวันที่ 5 พฤศจิกายน 2024 มีทางเป็นไปได้ค่อนข้างสูง โดยจะเป็นการประชันกันระหว่างค่ายระบอบประชาธิปไตยกับค่ายที่มีแนวโน้มว่าเป็นฝ่ายเผด็จการ แต่ก็คงจะต้องติดตามต่อไปว่าคดีอาญาทั้ง 4 คดีรวมทั้งหมดถึง 91 กระทงที่ประธานาธิบดีทรัมป์กำลังเผชิญอยู่นั้น จะเข้ามาเป็นอุปสรรคขัดขวางเส้นทางสู่ทำเนียบขาวของเขาหรือไม่ละครับ