คุยเฟื่องเรื่องต่างประเทศ /ดร.วิวัฒน์  เศรษฐช่วย      

แทบไม่น่าเชื่อว่าระบบการเมืองของสหรัฐอเมริกามักจะมีนักการเมืองในทุกๆระดับต่างออกมาแสดงละครการเมืองไม่เว้นแม้กระทั่ง “ประธานาธิบดีโจ ไบเดน”และ “อดีตประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์”

โดยเฉพาะอย่างยิ่งการแสดงละครในการลงแข่งขันเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ที่ขณะนี้ยังคงเหลือเวลาอีกแค่เพียง 9 เดือนเท่านั้น และเวลายิ่งใกล้เข้ามามากเท่าไหร่ เราก็จะยิ่งเห็นบทบาทการเล่นละครของสองคู่แข่งตัวเอกที่มาจากทั้งสองค่ายพรรคเด่นชัดขึ้นตามลำดับ!!!

เท่าที่ผ่านมาเราจะเห็นบทบาทการเล่นละครของประธานาธิบดีโจ ไบเดน ในการวางตนเป็นสุภาพบุรุษผู้ใจบุญ ส่วนอดีตประธานาธิบดีทรัมป์ก็จะวางตนเป็นผู้ร้ายที่ผสมผสานไปด้วยความมาดกวนๆ โหดเหี้ยม บ้าบิ่น ที่เขาอาจจะสั่งสมประสบการณ์การแสดงมาจากรายการเกมโชว์เรียลลิตี้เรื่อง “The Apprentice” ที่แสดงผ่าน “สถานีโทรทัศน์ช่องเอ็นบีซี” เมื่อปีค.ศ. 2004 จนถึงปี 2017

รายการเรียลลิตี้โชว์นี้ โดนัลด์ ทรัมป์ สวมบทบาทเป็นนักบริหารที่มีนิสัยอันธพาลอารมณ์เกรี้ยวกราด โดยเขาจะแสดงตนเป็นคนฝึกบรรดาผู้เข้าร่วมรายการให้กลายเป็นผู้ประกอบการที่โหดเหี้ยมแบบเวอร์วังอลังการ เพื่อดึงดูดความสนใจของรายการ

ดังนั้นวิธีการหาเสียงของอดีตประธานาธิบดีทรัมป์ ก็อาจจะนำทักษะในการเยาะเย้ยถากถางที่เขาเคยชินจากรายการดังกล่าวมาใช้กับคู่ต่อสู้ทางการเมืองก็เป็นไปได้

ซึ่งมองๆไปแล้วช่างผิดแบบหน้ามือเป็นหลังมือกับประธานาธิบดีโจ ไบเดน เลยทีเดียว ซึ่งอาจจะเป็นเพราะประธานาธิบดีโจ ไบเดน เป็นนักการเมืองมืออาชีพที่เริ่มตั้งแต่การเป็นวุฒิสมาชิกในสมัยหนุ่มๆเรื่อยมาจนกระทั่งได้รับเลือกในตำแหน่งรองประธานาธิบดีนานถึงแปดปีในยุคสมัย “ประธานาธิบดีบารัก โอบามา” โดยเขาทำงานอยู่เบื้องหลังฉากและมีบทบาทสำคัญในการเจรจาประนีประนอมกับนักการเมืองค่ายพรรครีพับลิกันได้อย่างยอดเยี่ยม จนขณะนั้นสามารถผ่านกฎหมายสำคัญๆฉลุย!!!

แต่อย่างไรก็ตามดูเหมือนว่าเมื่อครั้งที่โจ ไบเดนยังดำรงตำแหน่งประธานกรรมาธิการตุลาการของวุฒิสภา เขาเคยเล่นละครที่ครั้งนั้นมี “วุฒิสมาชิกเท็ด เคนเนดี” น้องชายของ “ประธานาธิบดีจอห์น เอฟ.เคนเนดี” รับบทเป็นผู้กำกับเวที มีผลทำให้เขากลายเป็นนักการเมืองที่มีชื่อเสียงโด่งดังด้านการใช้ศิลปะซักถามนักการเมืองและผู้พิพากษาเพื่อให้ผ่านการรับรองจากวุฒิสภา

โดยในปีค.ศ. 1991 ผู้พิพากษาผิวสีท่านหนึ่งชื่อว่า “แคลแรน โธมัส” อายุ 43 ปี ซึ่งได้รับการเสนอชื่อโดย“ประธานาธิบดีจอร์จ เอช.ดับเบิลยู. บุช” ให้เข้าไปรับตำแหน่งผู้พิพากษาศาลสูงสุด

โดยจะต้องมีการซักถามและถ่ายทอดสดผ่านโทรทัศน์เป็นเวลาสี่วันเต็มๆ และสืบเนื่องมาจากผู้พิพากษาแคลแรน โธมัส ถูกกล่าวหาว่าคุกคามทางเพศต่อทนายความสาวชื่อ “อนิตา ฮิลล์” ขณะที่ทั้งสองคนทำงานร่วมกัน จึงมีการซักฟอกและเป็นข่าวครึกโครมเกรียวกราว

และหลังจากเสร็จสิ้นการซักฟอกที่มีติดต่อกันถึงสี่วัน และผู้พิพากษาแคลแรน โธมัส ก็เอ่ยปากกล่าวปฏิเสธในทุกๆกรณี แถมในขณะนั้นวุฒิสมาชิกโจ ไบเดน ซึ่งรับหน้าที่ประธานคณะกรรมาธิการตุลาการของวุฒิสมาชิกเล่นละครเข้าข้างแคลแรน โธมัสอย่างลำเอียงออกหน้าออกตา จนมีผลทำให้คณะกรรมาธิการตุลาการมีมติรับรองอย่างหวุดหวิดฉิวเฉียดด้วยคะแนน 52 ต่อ 48 เสียง

และถึงแม้ว่าการแสดงละครของวุฒิสมาชิกโจ ไบเดน ในครั้งนั้นจะมีผลทำให้ผู้พิพากษาแคลแรน โธมัส ได้รับเลือกให้ดำรงอยู่ในตำแหน่งติดต่อกันมาอย่างยาวนานถึง 33 ปีก็ตาม แต่กลับปรากฏว่าก่อนที่โจ ไบเดน จะประกาศลงแข่งขันเลือกตั้งในตำแหน่งประธานาธิบดีของสหรัฐฯ เมื่อปีค.ศ. 2019 เขาตัดสินใจยกหูโทรศัพท์ไปกล่าวขอโทษต่ออนิตา ฮิลล์ ทนายความสุภาพสตรีคู่กรณีของผู้พิพากษาแคลแรน โธมัส เพื่อต้องการผลประโยชน์แอบแฝงทางการเมืองในการดึงดูดคนผิวสีให้เทคะแนนให้กับตน แต่กลับปรากฏว่า ทนายสาวผู้นี้ปฏิเสธไม่ยอมรับการขอโทษของโจ ไบเดน จึงมีผลทำให้เขาเกิดแผลเป็นทางใจจนเป็นตราบาป ในการที่เขามิได้ปกป้องสิทธิของสตรีจนตราบเท่าทุกวันนี้!!!

ในทางกลับกันดูเหมือนว่าช่างผิดแผกจากอดีตประธานาธิบดีทรัมป์อย่างสิ้นเชิง เพราะที่ผ่านมาเราไม่เคยเห็นเขาออกมากล่าวยอมรับสารภาพผิด และยังไม่เคยเห็นเขากล่าวคำขอโทษต่อใครให้เห็นเลยแม้แต่ครั้งเดียว

โดยเมื่อครั้งที่เขายังดำรงอยู่ในตำแหน่งประธานาธิบดีนั้น จะเห็นได้ว่า เมื่อใดก็ตามที่รัฐมนตรีคนใดก็ตามไม่ยอมทำตามที่เขาต้องการ เขาจะสั่งปลดออกอย่างทันที แถมยังออกมากล่าวประณามเย้ยหยันแถมท้ายอีกด้วย ทั้งๆที่ผู้นั้นเคยก้มหน้าก้มตารับใช้เขาอย่างจงรักภักดีก็ตาม

สำหรับกรณีของ “มหาวิทยาลัยทรัมป์” ที่เขาเป็นผู้ก่อตั้งขึ้นมาอย่างผิดกฎหมายจนถูกฟ้องร้อง เนื่องจากเขาเอารัดเอาเปรียบนักศึกษาที่เข้าเรียน และเมื่อเขาแพ้คดี เพื่อเป็นการตัดไฟแต่ต้นลมมิต้องการให้เพลิงเผาลามไปยังเรื่องอื่นๆให้เกิดอื้อฉาวกลายเป็นเรื่องบานปลายจนปลายบาน เพราะเขาเพิ่งจะก้าวเข้าสู่ทำเนียบขาวใหม่ๆ ปรากฏว่าเขายอมควักกระเป๋าจ่ายเงินปิดคดีถึง 25 ล้านดอลลาร์ชดเชยให้แก่บรรดานักศึกษา

ที่ผ่านๆมากลยุทธ์ของประธานาธิบดีทรัมป์ส่วนใหญ่ เขามักจะใช้ในลักษณะมุ่งโจมตีผู้ที่เป็นศัตรูทางการเมือง โดยใช้สื่อโซเชียลมีเดียที่เขาก่อตั้งขึ้นมาเป็นเครื่องมือทำลายคู่ต่อสู้ ทั้งๆที่บางครั้งฝ่ายตรงข้ามบางคนปราศจากอาวุธทางสื่อต่อสู้ เพื่อแก้ข่าว

ในกรณีครั้งที่เขาเกือบจะถูกถอดถอนออกจากตำแหน่งประธานาธิบดีถึงสองครั้งสองครานั้น แม้ว่า “วุฒิสมาชิกมิชท์ แม็คคอนเนลล์”ผู้นำของพรรครีพับลิกัน จะอ้าแขนทั้งโอบทั้งอุ้มประคับประคองปกป้อง จนกระทั่งเขาหลุดพ้นจากการถูกถอดถอนก็ตาม แต่ท้ายที่สุดเขาก็ยังโจมตีวิพากษ์วิจารณ์นักการเมืองอาวุโสผู้ที่เคยให้ความช่วยเหลือเขาอย่างสุดกำลังอยู่ดี

และดูเหมือนว่าการใช้วิธีโฆษณาชวนเชื่อของประธานาธิบดีทรัมป์กล่าวโจมตีและใส่ไฟให้ร้ายต่อคู่ต่อสู้ทางการเมืองได้ผลดีเกินคาด เพราะที่ผ่านมา บรรดาผู้ที่ตกเป็นเหยื่อมักจะยอมแพ้ปิดปากเงียบ แถมบางรายยังยอมแพ้แบบหมอบราบคาบแก้วหันกลับไปเป็นพันธมิตรสวามิภักดีต่อเขาอีกต่างหาก!!!

ส่วนการหาเม็ดเงินของประธานาธิบดีทรัมป์ด้วยการใช้วาทศิลป์และใช้สื่อโซเชียลของเขานั้น ถือเป็นอาวุธสำคัญอีกชิ้นหนึ่งเลยทีเดียว และถึงแม้ว่าขณะนี้เขากำลังถูกข้อกล่าวหาคดีอาญา 4 คดี 91 กระทงก็ตาม แต่เขาก็ยังสามารถจ้างทนายความที่มีทั้งประสบการณ์และมีคุณภาพมาปกป้องเขาด้วยการใช้เม็ดเงินที่ได้รับมาจากการบริจาคนั่นเอง

และจากการรายงานของสำนักหยั่งเสียงวอลล์สตรีท เมื่อวันที่ 9 ธันวาคม ค.ศ. 2023 ระบุว่า กระแสนิยมของประธานาธิบดีทรัมป์ นำ เหนือ ประธานาธิบดีโจ ไบเดน  4% นั่นก็คือ 47% ต่อ 43% (Trump Takes 2024 Lead as Biden Approval Hits New Low: Wall Street Poll December 9, 2023)

ถึงแม้ว่าที่ผ่านมาประธานาธิบดีโจ ไบเดน มักจะได้รับข่าวด้านลบมาโดยตลอดก็ตาม แต่กลับปรากฏว่าขณะนี้ภาวะเศรษฐกิจของสหรัฐฯกำลังดีขึ้น ดังจะเห็นได้จากรายงานของหนังสือพิมพ์เดอะวอลล์สตรีทเจอร์นัล และการสำรวจของธนาคารกลาง ที่รัฐนิวยอร์ก ที่ต่างเปิดเผยออกมาเมื่อสัปดาห์ที่แล้วว่า ชาวอเมริกันมีความมั่นใจด้านเศรษฐกิจของประธานาธิบดีโจ ไบเดน มากที่สุด นับตั้งแต่เดือนมีนาคม 2021 (Why President Joe Biden should be feeling good about rematch with Donald Trump: MSNBC January 24, 2024)

และถึงแม้ว่าที่ผ่านๆมาผู้บริโภคจะขาดความมั่นใจจนมีผลทำให้คะแนนนิยมตกต่ำติดต่อกันมาตลอดหลายๆเดือนก็ตาม แต่ขณะนี้ชาวอเมริกันมีความรู้สึกมั่นใจต่อประธานาธิบดีโจ ไบเดน มากขึ้นตามลำดับ แถมอัตราเงินเฟ้อยังคงลดลงเรื่อยๆ  และอัตราดอกเบี้ยก็อยู่ในระดับปานกลาง อีกทั้งอัตราของคนว่างงานก็อยู่ในระดับต่ำเช่นกัน นั่นก็คืออยู่ที่ 3.7% จากที่เคยมีที่ 3.75% เมื่อปีกลาย

อนึ่งการสำรวจเบื้องต้นของ “มหาวิทยาลัยมิชิแกน” ในเดือนมกราคม 2024 นี้บ่งชี้ออกมาว่า ความเชื่อมั่นของผู้บริโภคได้เพิ่มขึ้นอย่างคาดไม่ถึงนับตั้งแต่เดือนกรกฎาคม 2021

และจากการสำรวจครั้งใหม่ของศูนย์ค้นคว้า “Pew Research” ล่าสุดเมื่อวันที่ 25 มกราคม ระบุว่า สมาชิกพรรคเดโมแครต 44% มีมุมมองในเชิงบวกต่อภาวะเศรษฐกิจ โดยสภาวะเงินเฟ้อลดลงกว่า 18%

นอกจากนั้นเมื่อวันที่ 25 มกราคม 2024นี้ทำเนียบขาวก็ได้ออกมาเปิดเผยเช่นเดียวกันว่า การเติบโตทางเศรษฐกิจเพิ่มขึ้น                 3.1% เหนือกว่าปีที่ผ่านมา โดยประธานาธิบดีโจ ไบเดน ได้ออกมากล่าวแถลงว่า งานของเขายังไม่สำเร็จลุล่วง และเขาจะดำเนินการด้านลดราคายา ต่อด้วยความต้องการที่จะปรับเปลี่ยนให้มลภาวะลดลง เพื่อให้มีอากาศที่ดีขึ้น และเขายังต้องการที่จะดำเนินการเอาผิดต่อวงการธุรกิจที่ไม่โปร่งใสซ่อนค่าธรรมเนียมต่างๆ เพื่อเอารัดเอาเปรียบผู้อุปโภคและบริโภค

และขณะที่ความมั่นใจของชาวอเมริกันพุ่งสูงขึ้นปรากฏว่าดัชนีตลาดหลักทรัพย์ก็พุ่งสูงขึ้นตามลำดับด้วยเช่นกัน อาทิ เมื่อวันศุกร์ที่ 26 มกราคม 2024 ดัชนี S&P 500 และ Nasdaq Composite สามารถพุ่งสูงทำลายสถิติต่อกันถึงหกวัน ดัชนีเฉลี่ยภาคอุตสาหกรรมเพิ่มขึ้น 60.30 จุด และจากการสำรวจของ Vanguard พบว่านักลงทุนสหรัฐฯมีความมั่นใจในตลาดหลักทรัพย์มากกว่าครั้งใดๆในช่วงสองปีที่ผ่านมา

อย่างไรก็ตาม “ศาสตราจารย์อแลน ลิธท์แมน” แห่งภาคประวัติศาสตร์ ของ มหาวิทยาลัยอเมริกัน ที่เคยสร้างความตกตะลึงต่อการทำนายผลการเลือกตั้งเมื่อปี 2016 อย่างถูกต้อง แต่ผิดแผกไปจากผู้อื่นมาแล้ว ด้วยการที่เขาทำนายว่าโดนัลด์ ทรัมป์ล่วงหน้าสามเดือน จะได้รับชัยชนะในการเลือกตั้งจนได้รับตำแหน่งประธานาธิบดีของสหรัฐฯ ขณะที่สำนักหยั่งเสียงทั่วๆไปต่างคาดการณ์กันว่า ฮิลลารี คลินตัน จะได้รับเลือกอย่างนอนมาก็ตาม แต่กลับผิดถนัด และครั้งนั้นโดนัลด์ ทรัมป์ ก็ยังได้เขียนไปกล่าวคำขอบคุณต่อศาสตราจารย์ผู้นี้อีกด้วย

ทั้งนี้นับตั้งแต่ปี 1982 เป็นต้นมาจะเห็นได้ว่าศาสตราจารย์ลิธท์แมน ทำนายผลการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯได้อย่างถูกต้องแม่นยำ 100% ตลอดมา

แต่ไม่นานมานี้ปรากฏว่าดร.ลิทธ์แมน ได้ออกมากล่าวตำหนิประธานาธิบดีทรัมป์ที่แม้จะแพ้การเลือกตั้งไปแล้ว แต่กลับไม่มีสปิริตยอมรับความพ่ายแพ้ แถมยังออกมากล่าวอ้างว่า มีการโกงการเลือกตั้ง ทั้งๆที่การเลือกตั้งผ่านไปได้ด้วยความเรียบร้อย ซึ่งตอนนี้ศาสตราจารย์ท่านนี้ก็ยังไม่ยอมทำนายผลการเลือกตั้งที่กำลังจะมีขึ้นในอีก 9 เดือนข้างหน้า!

กล่าวโดยสรุปทั้งนี้และทั้งนั้นการเป็นนักการเมืองของ “ประธานาธิบดีโจ ไบเดน”และ “อดีตประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์”ต่างก็แสดงออกมาด้วยคุณสมบัติเฉพาะตัวแบบหยินกับหยาง ขาวกับดำ และเป็นสุภาพบุรุษกับมาดกวนๆแบบนักเลง ฉะนั้นเป็นหน้าที่ของชาวอเมริกันที่จะต้องคิด วิเคราะห์และไตร่ตรองตัดสินใจด้วยตัวเองว่า จะเลือกใครดี? แต่สิ่งหนึ่งที่แน่นอนที่สุดก็คือ ทั้งสองนักการเมืองต่างก็เล่นละครการเมืองแสดงให้ชาวโลกได้ชมบทบาทของพวกเขากันมาโดยตลอดละครับ