ช่วยกันคิด ช่วยกันทำ / ทหารประชาธิปไตย

มีเรื่องสำคัญที่ใหญ่พอจะทำให้สหรัฐฯ ประสบกับความหายนะเร็วกว่าที่คาด

นั่นคือปัญหาความขัดแย้งระหว่างรัฐเทกซัสกับรัฐบาลกลาง นั่นคือ ปัญหาความขัดแย้งเกี่ยวกับหน้าที่ และความรับผิดชอบเรื่องชายแดน ซึ่งรัฐเทกซัสที่มีชายแดนติดกับเม็กซิโก โดยบางส่วนมีแม่น้ำรีโอแกรนด์เป็นแนวทางธรรมชาติ และมีวนอุทยานขนาดใหญ่ในฝั่งเทกซัส ที่เป็นเส้นทางสำคัญในการลักลอบเข้าเมืองของชาวเม็กซิกัน จำนวนมากที่ทะลักเข้ามาในเทกซัสเป็นด่านแรก ก่อนกระจายไปยังรัฐอื่น แต่ส่วนใหญ่ก็จะอาศัยหลบซ่อนอยู่ในเทกซัส

เหตุที่ชาวเม็กซิกันต้องอพยพย้ายแดนมาก็เพราะสภาพเศรษฐกิจแถบเมืองชายแดนของเม็กซิโกนั้น เศรษฐกิจย่ำแย่ไม่มีงานทำ พื้นดินหลายส่วนไม่เหมาะกับการเพาะปลูก เป็นทะเลทรายอดอยากยากแค้น มีธุรกิจที่รุ่งเรือง คือ ธุรกิจสีเทา โดยเฉพาะยาเสพติด และการค้ามนุษย์(โสเภณี) ซึ่งก็อยู่ในมือของมาเฟียที่เป็นองค์กรขนาดใหญ่และมีอิทธิพลสูงทั้งต่อรัฐบาล เจ้าหน้าที่รัฐและประชาชน

ดังนั้นชาวเม็กซิกันจำนวนมาก จึงอพยพข้ามแดนมาเพื่อหวังจะหางานทำ ซึ่งในช่วงเวลาหนึ่งก็สามารถตอบสนองความต้องการของรัฐเทกซัส ซึ่งต้องการแรงงานในการทำการเกษตร ปศุสัตว์ และแม่บ้านรับใช้ของคนที่พอมีฐานะ

แต่นานวันเข้าจำนวนผู้อพยพ ก็เพิ่มมากขึ้น เกินความต้องการและไม่สามารถเคลื่อนย้ายไปรัฐอื่นได้มากนัก จึงกลายเป็นภาระและปัญหาของรัฐเทกซัส ที่ต้องรับภาระเรื่องสาธารณูปโภค ปัญหาอาชญากรรมและยาเสพติด โดยรัฐนี้ผู้ว่าการสังกัดพรรครีพับลิกัน

ทว่ารัฐบาลกลางนั้นอยู่ในมือของพรรคเดโมแครต และมีนโยบายที่ค่อนข้างผ่อนปรนในการปล่อยให้มีการอพยพข้ามแดนเข้ามา

ด้วยเหตุผลที่ไม่เป็นทางการ คือ หวังว่าผู้อพยพเหล่านี้เมื่อได้สิทธิพลเมืองแล้วจะสนับสนุนพรรคเดโมแครตในอนาคต เพราะตามสถิติคนเชื้อสายฮิสแปนนิคส่วนใหญ่จะเลือกเดโมแครต

ในทางตรงข้ามพรรครีพับลิกันบางส่วนจะเป็นคนผิวขาวและบางส่วนเหยียดผิว อย่างนายทรัมป์ผู้ที่จะกลับมาท้าชิงตำแหน่งประธานาธิบดีอีกครั้ง มีนโยบายค่อนไปในทางเหยียดผิว และคัดค้านการปล่อยให้คนเม็กซิกันอพยพเข้าประเทศ เช่น การเลือกตั้งครั้งที่แล้วก็มีนโยบายจะสร้างกำแพงกั้นระหว่างสหรัฐฯและเม็กซิโก

ยิ่งตอนนี้เศรษฐกิจตกต่ำทั่วโลกและโดยเฉพาะสหรัฐฯที่ไปก่อสงครามทั่วโลกทำให้รัฐบาลต้องใช้ภาษีไปสนับสนุนสงครามจำนวนมาก จนหนี้สาธารณะพุ่งสูงเกินกว่า 34 ล้านล้าน โดยในช่วงปีที่ผ่านมาหนี้สาธารณะได้เพิ่มขึ้นอีก 4 ล้านล้านดอลลาร์ โดยการเปิดเผยของนางเยลเลน รัฐมนตรีคลังที่ออกมาเตือนถึงภาวะอันตราย ด้วยหนี้สาธารณะเพิ่มเกิน 125% ไปแล้ว

เมื่อเศรษฐกิจตกต่ำที่แพร่กระจายไปทั่วสหรัฐฯ รัฐเทกซัสที่เกิดผลกระทบต่อผู้ใช้แรงงานและปัญหาคนอพยพ จึงทนไม่ไหว สั่งปิดวนอุทยานและพรมแดนที่เป็นช่องทางอพยพของชาวเม็กซิกัน โดยกั้นรั้วลวดหนาม

แต่รัฐบาลกลางไม่ยอมโดยอ้างว่าหน้าที่รักษาพรมแดนระหว่างประเทศเป็นของรัฐบาลกลาง ส่วนรัฐเทกซัสก็อ้างว่าเขาต้องป้องกันความมั่นคงของรัฐ และพรมแดนที่เป็นช่องทางอพยพของชาวเมกซิกัน โดยกั้นรั้วลวดหนาม

แต่รัฐบาลกลางไม่ยอมโดยอ้างว่าหน้าที่รักษาพรมแดนระหว่างประเทศเป็นของรัฐบาลกลาง ส่วนรัฐเทกซัสก็อ้างว่าเขาต้องป้องกันความมั่นคงของรัฐ และพรมแดนนั้นก็เป็นพรมแดนในเขตเทกซัส

เรื่องไปถึงศาลสูง ซึ่งก็ตัดสินเข้าข้างรัฐบาลกลาง โดยที่รัฐเทกซัสก็ไม่ยอมรับภารตัดสิน โดยส่งกองกำลังของตนไปปกป้องรั้วไม่ให้รัฐบาลกลางที่ส่งกองกำลังพิทักษ์ชาติเพื่อไปทำลายรั้วเหล่านั้น

ทั้งนี้มีรัฐต่างๆถึง 25 รัฐ ประกาศสนับสนุนเทกซัสและมีถึง 10 รัฐ ที่ประกาศจะส่งกองกำลังของรัฐไปช่วยเทกซัส

ด้วยประการฉะนี้ จึงเกิดความตึงเครียดขึ้นภายในประเทศและอาจนำไปสู่การเกิดสงครามกลางเมือง อันอาจนำไปสู่การล่มสลายของสหรัฐฯได้ เพราะต้องเผชิญทั้งศึกภายในและภายนอก

อย่างไรก็ตามมีหลายรัฐนอกจากเทกซัสยังมีเนวาดา แคนซัส แคลิฟอร์เนีย ฯลฯ เคยเป็นดินแดนของเม็กซิโก ที่สหรัฐฯไปปล้นเขามา ตอนนี้เวรกรรมสนอง ชาวเม็กซิกันก็อพยพเข้ามาจนเป็นประชากรกลุ่มใหญ่ในรัฐหลายรัฐที่เคยเป็นของตน

อนึ่งในอดีตเทกซัสเคยเป็นรัฐอิสระก่อนรวมกับรัฐบาลกลางในช่วงปี 1836 – 1845 และเคยเป็นส่วนหนึ่งของสหพันธ์ (Confederacy) ในระหว่างสงครามกลางเมืองช่วงปี 1861-1865 และเทกซัสยังเป็นรัฐที่ใหญ่เป็นอันดับ 2 ด้วยพื้นที่ จำนวนประชากรและขนาดเศรษฐกิจ ซึ่งถ้าสหรัฐฯเสียรัฐเทกซัสไปก็อาจเปรียบได้กับการที่รัฐเซียเสียดินแดนยูเครนไปภายหลังการล่มสลายของสหภาพโซเวียต

ถ้าขาดรัฐเทกซัสไป สหรัฐฯก็จะอ่อนแอลง และแตกต่างไปจากเดิม ตลอดจนสถานะในฐานะผู้นำโลกก็จะถูกลดทอนไปด้วยฝีมือของคนอเมริกันเอง

นอกจากนี้ก็อาจมีอีกหลายรัฐที่จะแยกตัวติดตามเทกซัส ซึ่งก็จะยิ่งลดฐานะของสหรัฐฯ จากเวทีโลกลงไปอีกมาก ยิ่งถ้ามีการใช้กำลังสู้รบ ต้องเกิดสงครามกลางเมืองจนนำไปสู่การล่มสลายในที่สุด

แม้ว่าเหตุการณ์ในขณะนี้จะยังไม่ถึงกับบานปลาย และเป็นเพียงการคัดค้านจากฝ่ายตรงข้ามรัฐบาล แต่ก็ทำให้คะแนนของนายทรัมป์ในการชิงตำแหน่งประธานาธิบดีที่นำอยู่แล้ว ยิ่งทำให้คะแนนทิ้งไบเดนไปอีก

ทางเดโมแครตก็อาจจะหาทางตัดคะแนนด้วยขบวนการทางกฎหมาย โดยเฉพาะการเร่งรัดดำเนินคดีกับทรัมป์ให้มีผลก่อนการเลือกตั้ง ซึ่งจะนำไปสู่ความขัดแย้งทางการเมืองครั้งใหญ่ที่จะบานปลายและแตกแยกมากขึ้น โดยเฉพาะเกิดข่าวลือว่าไบเดนจะโกงการเลือกตั้งเหมือนเมื่อครั้งที่แล้วตามการกล่าวหาของทรัมป์

ทว่าความขัดแย้งที่เทกซัสก็มิใช่ว่าจะไม่มีผลกระทบอะไรต่อสหรัฐฯในภาพรวม นั่นคือรอยแตกร้าวภายในของสหรัฐฯ จะนำไปสู่ความอ่อนแอของประเทศโดยรวม และจะติดตามมาด้วยปัญหาทางกฎหมายที่จะก่อให้เกิดความยากลำบากในการบริหารของรัฐบาลกลาง โดยเฉพาะปัญหาการตีความรัฐธรรมนูญ ซึ่งจะกลายเป็นความขัดแย้งที่จะบานปลายไปสู่ความขัดแย้งในด้านอื่นๆ โดยเฉพาะจิตวิญญาณของเอกภาพ ไม่ใช่แค่เรื่องชายแดน แต่ความมั่นคง คุณค่าของครอบครัว การศึกษา การจัดการเรื่องอาวุธ ประวัติศาสตร์ นโยบายสีผิว ฯลฯ

นี่ยังไม่นับการทรุดโทรมทางเศรษฐกิจที่สหรัฐฯเป็นผู้ดำเนินนโยบายที่ผิดพลาด ไม่ว่าจะเป็นเรื่องโรคระบาดอย่างโควิด หรือนโยบายก่อสงครามแทนการสร้างสันติภาพ โดยมีรัฐบาลไซออนิสต์อิสราเอลเกาะหลังอยู่ และยังมียิวไซออนิสต์ ควบคุมการเมืองในสหรัฐฯ ในขณะที่อเมริกันชน ต้องตกยากและแบกภาระภาษีที่หนักหน่วงขึ้น จากการเพิ่มขึ้นของหนี้สาธารณะ