มิตซูบิชิ มอเตอร์ส คอร์ปอเรชั่น (มิตซูบิชิ มอเตอร์ส) เปิดตัวรถยนต์ระบบขับเคลื่อน ฟูลไฮบริด ใหม่ เอ็กซ์แพนเดอร์ เอชอีวี และ เอ็กซ์แพนเดอร์ ครอส เอชอีวี ครั้งแรกของโลก โดยเป็นครั้งแรกของรถยนต์ครอบครัว 7 ที่นั่งขนาดเล็กในประเทศไทยที่มาพร้อมกับระบบฟูลไฮบริด ซึ่งผสานการทำงานอย่างสมบูรณ์แบบระหว่างมอเตอร์ไฟฟ้าและเครื่องยนต์ไว้อย่างลงตัวที่สุด ชูจุดเด่น 3 สุดยอดเทคโนโลยีจากมิตซูบิชิ มอเตอร์ส เพื่อมอบประสบการณ์ขับขี่ใหม่ ที่เต็มเปี่ยมไปด้วยพลัง และมั่นใจในทุกเส้นทาง แบบ Mitsubishi e:MOTION พร้อมเดินหน้ารุกตลาดและเริ่มจำหน่ายในไทยทันที โดยรถยนต์ระบบขับเคลื่อนฟูลไฮบริดทั้งสองรุ่นนี้ จะผลิตขึ้นในไทย โดยบริษัท มิตซูบิชิ มอเตอร์ส (ประเทศไทย) จำกัด ที่โรงงานผลิตรถยนต์ของมิตซูบิชิ มอเตอร์ส ที่นิคมอุตสาหกรรมแหลมฉบัง

เอ็กซ์แพนเดอร์ ผสานความสะดวกสบายและความอเนกประสงค์ในการใช้งานแบบรถครอบครัวอเนกประสงค์ 7 ที่นั่ง เข้ากับรูปลักษณ์ที่โฉบเฉี่ยวสะดุดตา พร้อมด้วยสมรรถนะการขับขี่แบบรถเอสยูวี ไว้ด้วยกันอย่างลงตัว ซึ่งยนตรกรรมรุ่นนี้เปิดตัวขึ้นเป็นครั้งแรกในประเทศอินโดนีเซียเมื่อปี 2560 ก่อนที่จะขยายตลาดสู่ภูมิภาคอาเซียน ละตินอเมริกา ตะวันออกกลาง และตลาดอื่นๆ ทั่วโลก ขณะที่ รถยนต์เอ็กซ์แพนเดอร์ ครอส ได้รับการเปิดตัวตามมาในปี 2562 ทั้งนี้ ยานยนต์ตระกูลเอ็กซ์แพนเดอร์ นับเป็นยนตรกรรมรุ่นสำคัญในเชิงกลยุทธ์ระดับโลกของมิตซูบิชิ มอเตอร์ส ที่ขับเคลื่อนการเติบโตให้กับบริษัทฯ ด้วยยอดขายรวมกว่า 130,000 คัน ทั่วโลก ในปีงบประมาณ 2565 ถือเป็นรุ่นที่มียอดขายสูงสุดเป็นอันดับ 3 ต่อจากมิตซูบิชิ ไทรทัน  และมิตซูบิชิ เอาท์แลนเดอร์ โดยมียอดขายสะสมรวมสูงกว่า 650,000 คัน นับตั้งแต่เปิดตัวขึ้นเป็นครั้งแรก และเฉพาะในประเทศไทย ยานยนต์ตระกูลเอ็กซ์แพนเดอร์ มียอดขายสะสมรวมทั้งสิ้นสูงกว่า 64,000 คัน นับตั้งแต่เปิดตัวขึ้นเมื่อเดือนสิงหาคม 2561

ระบบขับเคลื่อนฟูลไฮบริดรุ่นใหม่ทั้งสองรุ่นนี้ ได้ผสานระบบขับเคลื่อนไฟฟ้าและเทคโนโลยีระบบควบคุมการขับเคลื่อน อันเป็นเอกลักษณ์ของมิตซูบิชิ มอเตอร์ส เข้าไว้ด้วยกัน เพื่อสร้างมิติใหม่แห่งประสบการณ์การขับขี่ที่เปี่ยมพลัง โดดเด่นเหนือระดับ โดยระบบขับเคลื่อนฟูลไฮบริดใน เอ็กซ์แพนเดอร์ เอชอีวี  และเอ็กซ์แพนเดอร์ ครอส เอชอีวี ได้รับการพัฒนาขึ้นใหม่ด้วยการต่อยอดจากระบบรถยนต์ปลั๊กอินไฮบริด (PHEVs) เพื่อมอบสุนทรียภาพแห่งการเดินทางที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมซึ่งอัดแน่นด้วยความตื่นเต้นเร้าใจ อันเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวของรถยนต์ที่ขับเคลื่อนด้วยไฟฟ้า นอกจากนี้ ยังมีระบบควบคุมการขับเคลื่อนและสมดุลขณะเข้าโค้ง (Active Yaw Control: AYC) ที่ทำงานสอดผสานอย่างลงตัวกับเทคโนโลยีระบบขับเคลื่อน 2 ล้อ เพื่อมอบความปลอดภัยและความมั่นใจในการขับขี่ ด้วยสมรรถนะการควบคุมรถที่เหนือชั้น พร้อมด้วยโหมดการขับขี่ที่หลากหลาย ซึ่งช่วยเสริมสมรรถนะการเกาะถนน และช่วยให้ควบคุมรถได้อย่างง่ายดายและคล่องตัวบนทุกสภาพถนนและทุกสภาพอากาศ ทั้งนี้ ผู้ขับขี่สามารถเลือกปรับโหมดการขับขี่เป็น EV Priority ได้ตามต้องการ เพื่อให้เหมาะกับสถานการณ์ อาทิ ต้องการเดินทางอย่างเงียบสงบ หรือเคลื่อนตัวได้โดยไม่สร้างเสียงรบกวนในหมู่บ้านยามเช้าตรู่

Mitsubishi e:MOTION ประสบการณ์ขับขี่ใหม่เหนือระดับ ที่เต็มเปี่ยมไปด้วยพลัง และมั่นใจในทุกเส้นทาง โดยผสานการทำงานอย่างสมบูรณ์ของ 3 สุดยอดเทคโนโลยีจากมิตซูบิชิ มอเตอร์ส ได้แก่ 1.ระบบขับเคลื่อนฟูลไฮบริด (HEV System) มอบการขับขี่ที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม และน่าตื่นเต้นเร้าใจ ให้ความคล่องตัว ด้วยมอเตอร์ไฟฟ้าจากระบบขับเคลื่อนฟูลไฮบริด ซึ่งได้รับการถ่ายทอดและพัฒนามาจากความสำเร็จของระบบรถยนต์ปลั๊กอินไฮบริด (PHEVs) 2.โหมดการขับขี่ 7 รูปแบบ (7 Drive Mode) ที่พัฒนาขึ้นใหม่ ซึ่งผู้ขับขี่สามารถเลือกปรับโหมดการขับขี่ ได้ตามต้องการ ให้สมรรถนะการขับขี่ที่ปลอดภัย มั่นใจได้ในทุกเส้นทาง ลุยได้ในทุกสภาพถนน  และ 3.ระบบควบคุมการขับเคลื่อนและสมดุลขณะเข้าโค้ง (Active Yaw Control: AYC) เทคโนโลยีที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะของมิตซูบิชิ มอเตอร์ส มอบการขับขี่ที่ปลอดภัยและมั่นใจ ควบคุมรถได้อย่างคล่องตัวโดยเฉพาะขณะเข้าโค้ง

ระบบขับเคลื่อนฟูลไฮบริด (HEV System) มอบการขับขี่ที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม และน่าตื่นเต้นเร้าใจ ให้ความคล่องตัว ด้วยมอเตอร์ไฟฟ้าจากระบบขับเคลื่อนฟูลไฮบริด ซึ่งได้รับการถ่ายทอดและพัฒนามาจากความสำเร็จของระบบรถยนต์ปลั๊กอินไฮบริด (PHEVs)

ระบบขับเคลื่อนฟูลไฮบริด เอชอีวี ที่ได้รับการพัฒนาขึ้นใหม่ ประกอบด้วยรูปแบบการขับขี่แบบ EV (พลังงานไฟฟ้า 100%) รูปแบบการขับขี่แบบไฮบริด และระบบชาร์จไฟกลับขณะเบรกหรือ Regenerative Braking จึงโดดเด่นในด้านอัตราประหยัดน้ำมัน พร้อมมอบความสนุกแห่งการขับเคลื่อนด้วยมอเตอร์ไฟฟ้า ซึ่งสามารถปรับเข้าสู่รูปแบบการขับขี่ที่ให้ประสิทธิภาพสูงสุดได้โดยอัตโนมัติ เพื่อให้เหมาะกับสถานการณ์การขับขี่ และพลังงานคงเหลือในแบตเตอรี่ ที่ขณะนั้น

เมื่อเริ่มออกตัว และขับขี่ด้วยความเร็วต่ำ ตัวรถจะขับเคลื่อนด้วยมอเตอร์ไฟฟ้าโดยใช้พลังงานจากแบตเตอรี่เพียงอย่างเดียว เป็นรูปแบบการขับขี่แบบ EV (พลังงานไฟฟ้า 100%) (แผนภาพที่ 1) ทำให้สามารถขับขี่ด้วยด้วยพลังงานไฟฟ้าอย่างเต็มรูปแบบ จากนั้น ในขณะที่ขับรถขึ้นเนินที่ลาดชันหรือในขณะที่เร่งความเร็ว ระบบจะทำการปรับเปลี่ยนสู่รูปแบบการขับเคลื่อนด้วยระบบไฮบริด โดยใช้พลังงานจากมอเตอร์ไฟฟ้า ที่ได้รับการปั่นไฟฟ้าให้เกิดพลังงานจากเครื่องยนต์ (แผนภาพที่ 2) และเมื่อขับขี่ด้วยความเร็วสูง ตัวรถจะขับเคลื่อนด้วยเครื่องยนต์ โดยมีมอเตอร์ไฟฟ้าช่วยเสริมกำลังขับเคลื่อน (แผนภาพที่ 3) เนื่องจากเครื่องยนต์เริ่มทำงานอย่างนุ่มนวล ไม่กระชาก ผู้ขับขี่จึงสามารถเพลิดเพลินกับสุนทรียภาพแห่งการเดินทางอันรื่นรมย์ สะดวกสบายแม้ในรูปแบบการขับขี่แบบไฮบริด ขณะที่เมื่อชะลอความเร็ว ตัวรถจะเข้าสู่รูปแบบ Regenerative Braking ซึ่งเป็นระบบชาร์จไฟกลับขณะเบรก จึงสามารถสร้างพลังงานไฟฟ้าเพื่อเก็บสำรองพลังงานไว้ในแบตเตอรี่ (แผนภาพที่ 4) ทั้งนี้ ระบบขับเคลื่อนฟูลไฮบริด ได้รับการถ่ายทอดและพัฒนามาจากความสำเร็จของระบบรถยนต์ปลั๊กอินไฮบริด (PHEVs) จึงมอบการขับขี่ที่เงียบสงบและเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมในแบบของรถยนต์ไฟฟ้าโดยไม่ต้องพึ่งน้ำมันเชื้อเพลิง และปราศจากการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ ไปพร้อมๆ กับการมอบการขับขี่ที่สะดวกสบายในแบบของรถยนต์ระบบขับเคลื่อนฟูลไฮบริด ที่ผู้ขับขี่สามารถเพลิดเพลินไปกับการขับขี่ทางไกล โดยไม่ต้องกังวลถึงพลังงานคงเหลือในแบตเตอรี่

ระบบขับเคลื่อนฟูลไฮบริด มอบอัตราเร่งที่ทรงพลัง ไหลลื่นไม่มีสะดุด ตอบสนองได้อย่างยอดเยี่ยม ซึ่งเป็นเอกลักษณ์เฉพาะของการขับเคลื่อนด้วยมอเตอร์ไฟฟ้าขนาด 85 กิโลวัตต์ พร้อมเครื่องกำเนิดไฟฟ้าผสานการทำงานกับเครื่องยนต์เบนซิน 1.6 ลิตร MIVEC โดยมีแบตเตอรี่ขับเคลื่อนที่ได้รับการพัฒนาสำหรับรถยนต์รุ่นนี้โดยเฉพาะ มอเตอร์ไฟฟ้ากำลังสูงและแบตเตอรี่ตอบสนองต่อแรงบิด 255 นิวตันเมตรได้อย่างรวดเร็วเมื่อออกตัว และให้อัตราเร่งที่ทันใจเมื่อกดคันเร่ง ผู้ขับขี่จึงสามารถเปลี่ยนเลนบนทางด่วนได้อย่างราบรื่นไร้กังวล และกลับรถบนถนนในเมืองที่มีการจราจรหนาแน่นได้อย่างสะดวกง่ายดาย

เครื่องยนต์เบนซินที่ได้รับการพัฒนาใหม่ขนาด 1.6 ลิตร DOHC MIVEC 16 วาล์ว มีอัตราส่วนการขยายตัวสูง (วงจร Atkinson) พร้อมกับมีประสิทธิภาพการเผาไหม้ที่สูงกว่าด้วยการติดตั้งปั๊มน้ำไฟฟ้าเป็นครั้งแรกในเครื่องยนต์ของมิตซูบิชิ มอเตอร์ส พร้อมคอมเพรสเซอร์แอร์ไฟฟ้าเพื่อลดการสูญเสียทางกล ช่วยเสริมให้อัตราประหยัดน้ำมันของเครื่องยนต์ดีขึ้น กว่าเดิมราวร้อยละ 34 สำหรับการขับขี่ในเมือง และให้อัตราประหยัดน้ำมันที่ดีขึ้นกว่าเดิมราวร้อยละ 15 สำหรับการขับขี่ในเมืองและนอกเมือง เมื่อดำเนินการทดสอบตามมาตรฐานการวัดระยะทางรถยนต์ไฟฟ้าแบบ NEDC 

โหมดการขับขี่ 7 รูปแบบ ที่พัฒนาขึ้นใหม่ ซึ่งผู้ขับขี่สามารถเลือกปรับโหมดการขับขี่ได้ตามต้องการ ให้สมรรถนะการขับขี่ที่ปลอดภัย มั่นใจได้ในทุกเส้นทาง ลุยได้ในทุกสภาพถนน ไปได้ทุกที่ตามต้องการ

โหมดการขับขี่ 7 รูปแบบ ที่พัฒนาขึ้นใหม่ ประกอบด้วย โหมดการขับเคลื่อนด้วยพลังงานไฟฟ้า (EV) 2 โหมดและอีก 5 โหมดสำหรับพื้นผิวถนนที่มีสภาวะแตกต่างกันตามภูมิประเทศและภูมิอากาศ เพื่อสมรรถนะสูงสุดในการขับขี่และการควบคุมตัวรถที่ตอบสนองได้อย่างแม่นยำ

ผู้ขับขี่สามารถเลือกใช้โหมดการขับเคลื่อนด้วยพลังงานไฟฟ้า (EV) 2 โหมด ได้ทุกเมื่อตามที่ต้องการ ซึ่งประกอบด้วย EV Priority Mode ที่ขับเคลื่อนรถด้วยมอเตอร์ไฟฟ้า ด้วยพลังงานจากแบตเตอรี่ โดยปราศจากการทำงานของเครื่องยนต์ โหมดนี้ทำงานอย่างเงียบสงบ เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม และยังช่วยให้ผู้ขับขี่หมดกังวลเรื่องเสียงรบกวนเมื่อขับขี่ในหมู่บ้านยามเช้าตรู่ หากพลังงานแบตเตอรี่เหลือน้อย ผู้ขับขี่สามารถปรับเข้าสู่ Charge Mode เพื่อชาร์จแบตเตอรี่ได้ทุกเวลา ทั้งในขณะที่ตัวรถกำลังเคลื่อนที่หรือขณะหยุดนิ่ง เพื่อให้สามารถกลับมาสนุกกับการขับขี่ด้วยมอเตอร์ไฟฟ้าได้อีกครั้ง

โหมดการขับขี่อีก 5 รูปแบบ ได้รับการสร้างสรรค์ขึ้นเพื่อมอบสมรรถนะสูงสุดในการขับขี่และการควบคุมตัวรถที่ตอบสนองได้อย่างแม่นยำบนพื้นผิวถนนที่มีสภาวะแตกต่างหลากหลายตามภูมิประเทศและภูมิอากาศ โดยพัฒนาระบบขับเคลื่อน 2 ล้อหน้าให้ดียิ่งกว่ารุ่นเดิม ผสานกับระบบควบคุมการขับขี่ต่างๆ ทั้งระบบควบคุมการขับเคลื่อนและสมดุลขณะเข้าโค้ง (Active Yaw Control: AYC) เทคโนโลยีที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะของมิตซูบิชิ ซึ่งเป็นการควบคุมแรงเบรกระหว่างล้อหน้าด้านซ้ายและด้านขวาให้เหมาะสมกับสภาวะการขับขี่  ระบบป้องกันล้อหมุนฟรีและควบคุมการลื่นไถล (Traction Control System: TCL) ที่ช่วยตรวจจับอาการลื่นไถลของล้อหน้าและควบคุมพละกำลังการขับเคลื่อน  ระบบควบคุมอัตราเร่ง (Acceleration Control) ที่ช่วยปรับกำลังมอเตอร์ไฟฟ้าและเครื่องยนต์ให้ทำงานสอดประสานอย่างมีประสิทธิภาพเมื่อมีการกดคันเร่ง  และระบบควบคุมน้ำหนักพวงมาลัย (Steering Control) ที่ช่วยปรับน้ำหนักของพวงมาลัยให้ตอบสนองได้ดั่งใจตามความเร็วและสภาพพื้นผิวถนน 

โดยมีรายละเอียดดังนี้ 1.Normal Mode เป็นโหมดที่สมดุลและเหมาะสมที่สุดสำหรับการขับขี่ทั่วไปในชีวิตประจำวัน 2.Wet Mode เหมาะสำหรับการขับขี่บนถนนที่เปียกลื่น โดยช่วยป้องกันการลื่นไถล ให้การควบคุมที่มั่นใจและเกาะถนนเป็นเลิศแม้ขณะฝนตกหนัก  3.Gravel Mode เหมาะสำหรับการขับขี่บนทางทางลูกรัง เพิ่มเสถียรภาพการขับขี่บนพื้นผิวถนนที่ลื่นและขรุขระ  4.Tarmac Mode เหมาะกับการขับขี่บนถนนลาดยาง ที่ให้พละกำลังและการควบคุมการขับขี่ที่คล่องตัว มั่นใจได้ในทุกสถานการณ์ แม้บนถนนที่คดเคี้ยว และ 5.Mud Mode ทางโคลน เพิ่มการตอบสนองและการควบคุมที่ทรงพลังบนถนนดินโคลนสมบุกสมบัน โหมดการขับขี่ทุกรูปแบบสร้างขึ้นเพื่อมอบความปลอดภัยและสะดวกสบายบนทุกสภาพถนนและสภาพอากาศ ซึ่งผู้ขับขี่ต้องพบเจอเป็นประจำ

บริษัท มิตซูบิชิ มอเตอร์ส ประเทศไทย จำกัด เปิดราคา เอ็กซ์แพนเดอร์ เอชอีวี ไว้ดังนี้ รุ่น เอ็กซ์แพนเดอร์ เอชอีวี ใหม่ อยู่ที่ราคา 933,000 บาท และ รุ่น เอ็กซ์แพนเดอร์ ครอส เอชอีวี ใหม่ อยู่ที่ราคา 961,000 บาท

 

 

 

มร.มาซาฮิโระ อิโตะ หัวหน้าทีมพัฒนาผลิตภัณฑ์ ฝ่ายกลยุทธ์ผลิตภัณฑ์  และ มร.โคอิจิ นามิกิ กรรมการบริหารและผู้อำนวยการใหญ่ ฝ่ายกลยุทธ์ผลิตภัณฑ์ บริษัท มิตซูบิชิ มอเตอร์ส คอร์ปอเรชั่น พร้อมด้วย มร.เรียวอิจิ อินาบะ กรรมการผู้จัดการใหญ่ และ นายสาโรจน์ มะอาจเลิศ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่อาวุโส สายงานขาย บริการหลังการขาย และการพัฒนาเครือข่ายผู้จำหน่าย บริษัท มิตซูบิชิ มอเตอร์ส (ประเทศไทย) จำกัด ร่วมพิธีเปิดตัวรถยนต์ระบบขับเคลื่อนฟูลไฮบริด ใหม่ เอ็กซ์แพนเดอร์ เอชอีวี และ เอ็กซ์แพนเดอร์ ครอส เอชอีวี รอบเวิลด์พรีเมียร์ในไทย