ปากกาขนนก / สกุล บุณณยทัต

"โอกาสที่งดงามของชีวิต...ถือเป็นเรื่องที่มีค่าและยิ่งใหญ่ต่อชีวิตใดชีวิตหนึ่งเสมอ..มันเหมือนว่าจะเกิดขึ้นได้ง่ายๆ...แต่แท้จริงห้วงจังหวะอันล้ำลึกของชีวิตเช่นนี้เกิดขึ้นได้ยากยิ่ง..มันคล้ายเหมือนเป็นเรื่องบังเอิญ ลิขิตของพระผู้เป็นเจ้า หรือ แม้กระทั่งอุบัติเหตุอันเหนือคาดคิด..

แต่..ทั้งนี้ทั้งนั้นย่อมมีโอกาส  อันเป็นดั่งสรวงสวรรค์ของความรู้สึกเกิดขึ้นได้..ผ่านความบังเอิญที่เป็นยิ่งกว่าอัศจรรย์..และหากเป็นว่า..*บังเอิญคนที่ฉันเจอนั้น..คือเธอ*...ผู้ก่อเกิดเป็นความรักในความรู้สึกรัก...หัวใจของคนเราทุกคนก็ต้องเต้นเร่า..และหลั่งไหล..ความเป็นตัวตนในรักออกมา..ดั่งโชคที่เป็นยิ่งกว่าโชค..และนี่คือ..วิถีแห่งการรับรู้แห่งใจอันเป็นสัจจะเหนืออารมณ์ความรู้สึกแห่งชีวิต..ยิ่งล้ำ.."

“บันทึกแห่งความรู้สึก” เบื้องต้น..คือนัยอันชวนจดจำและมีพลังของหนังสือเรื่องและภาพที่ล้ำค่าทางความรู้สึกของ “จิมมี่ เลี่ยว”.. “โชคดีที่เจอกัน” (BEST OF LUCK)...หนังสือที่ระบุว่า... “ถึงโชคร้ายในวันวานก็ไม่เป็นไร...เพราะอย่างน้อยก็โชคดีที่ยังลุกขึ้นมาได้ในวันนี้..”

 ผมศรัทธา..ในวิถีคิดแห่ง “จิมมี่ เลี่ยว” เสมอมา..มันให้แก่นสารของความวาดหวังต่อชีวิต..มันให้นัยต่อความโชคดีที่เราต้องเพียรพยายามที่จะคว้าจับ.. “ใครๆก็ปรารถนาถึงความโชคดี...แต่ความโชคดีนั้นมีวิธีการคว้าจับหรือ?”...นั่นคือการตั้งข้อสังเกตและเป็นวิธีการตรวจสอบชีวิต..อย่างใช้วิจารณญาณอันอ่อนโยน..

ณ ห้วงเวลาที่เขาเคยเจ็บป่วย..เขาถูกบังคับให้ต้องเผชิญหน้ากับโรคร้าย..ต้องทุ่มเทอย่างสุดพลังกายพลังใจเพื่อจะต่อสู้กับมัน..โดยที่ไม่มีสิทธิ์เลือกอะไรได้เลยในชีวิต..แม้นหากมีพื้นที่ว่างเพียงพอให้เลือกไม่เอาสิ่งนั้นไม่เอาสิ่งนี้..ว่ากันว่า..การสามารถเอาสิ่งนั้นได้..เอาสิ่งนี้ได้..นั่นล่ะที่ถือกันว่า..ชีวิตของตนโชคดี.. “ผมรู้สึกว่า..ความโชคดีคือการมีสิทธิ์เลือก..”

หลังจากการมองเห็นเรื่องราวความโชคร้าย และผ่านรสชาติของความชั่วร้ายด้วยตัวเองมาได้ “จิมมี่” ได้แปลงรสสัมผัสของเขา..ขึ้นมาเป็นตัวอักษรที่มีอารมณ์ขันและสามารถอ่านได้อย่างสนุกผ่านภาพวาด..เขาแบ่งปัน..บรรดาความโชคร้ายเบื้องหลังความโชคดี..ตลอดจนความโชคดีเล็กน้อย เบื้องหลังเคราะห์กรรมแก่ผู้อ่านทุกคน.. “ความโชคดีคือความบอบซ้ำเจ็บปวด..แต่ยังหลงรักในชีวิต/ความโชคดี คือ หกล้มแล้วยังลุกไหว../ความโชคดี..คือ เชื่อว่าตนโชคดีตลอดไป..!”

จะเห็นได้ว่า..ความโชคดีมีความหมายในเชิงขยายที่กว้างขวางและหยั่งลึกยิ่ง..เนื่องเพราะ..ความโชคดีและความโชคร้ายนั้นเปลี่ยนแปลงไม่นิ่ง อีกทั้งยังแปรผันเกินคาดเดา...วันนี้ไม่มี ไม่แน่พรุ่งนี้ความโชคดีก็จะมา..

“ความโชคดี คือจิ้งจอกแอบอ้างบารมีราชสีห์..แล้วถูกจับได้ในทันที/ความโชคดีคือ..เมื่อมีโชคร้ายมาถึงแล้ว..ก็มีความสามารถในการข้ามผ่าน../ความโชคดีคือ..ไม่ต้องเผาไหม้ตนเอง..แต่ยังส่องแสงให้คนอื่นได้../และ..หรือ..ความโชคดีมีทางเลือก..ในที่สุด” 

“จิมมี่ เลี่ยว” เชื่อและมีทรรศนะต่อความเป็นโชค..ในเชิงพินิจพิเคราะห์ว่า..ระหว่างที่รอคอยโชคดีมาเยือน..คืนวันเปลี่ยนเป็นสุขสันต์หรรษา..อาจเกิดอุบัติการณ์ที่ว่า..โชคดีคราวนี้ช่างดีเกินคาด  “ฉันขอแค่นี้ ก็เพียงพอแล้วจริงๆ” โชคดีเล็กๆ..เสริมด้วยความพยายามที่ยิ่งใหญ่ กลายเป็นลงตัวพอดิบพอดี ไปแล้ว ไปแล้ว..ได้รับคำอวยพรตั้งมากมายแล้ว “อย่าโลภมากเลย”

ประสบการณ์ชีวิตที่เจ็บปวดลึกซึ้ง กลายเป็นคำสอนที่ออกมาจากใจและสะท้อนหัวใจ..ทุกครั้งได้สัมผัสกับผัสสะอันเนียนแนบของ “จิมมี่ เลี่ยว” ..ความรู้สึกเชิงเปรียบเทียบของเราก็จะถูกปลุกตื่น..มันคือความคิดแห่งความคิด..ที่โยงใยระหว่างความผาสุกสู่นัยเปรียบเทียบของความผิดหวังทุกข์เศร้า..โดยแท้..

ระหว่างรอคอยโชคดีมาเยือน...ชีวิตเปลี่ยนเป็นระทมหม่นหมอง.. “โชคดีคราวนี้ดีพอหรือเปล่า..ยังมีโชคที่ยิ่งกว่านี้อีกไหมนะ..โชคดีผ่านเลยไปแล้วหรือเปล่า..หรือว่าจะอีกนานแค่ไหนก็ไม่มาอีกแล้ว...ยังต้องรอต่อไปอย่างงมงายหรือเปล่า..หรือควรเลิกเพ้อฝันแล้ว..เดินจากไป”

มโนสำนึกของ “จิมมี่ เลี่ยว” ทั้งโชคดีและโชคร้าย..ถือเป็นปรากฏการณ์ทางความคิด..ที่ทำให้ผู้อ่านเกิดความคิดเชิงวิเคราะห์ ในการตีความ..ความเรียบง่ายด้วยสายตาสำนึกผ่านตัวอักษรและภาพวาดที่เปี่ยมไปด้วยสีสันแห่งความจัดจ้านของความหมายแห่งชีวิต..มันเปรียบดั่งโยงใยของเงื่อนงำที่แทรกร่างอยู่ในวงจรของพายุหมุนแห่งชะตาชีวิต..การมีชีวิตรอดออกมาได้คือ..ผลกำไรของจิตปัญญา..การก่อเกิดแรงเหวี่ยงแห่งการรับรู้ในรู้สึก..คือสัญญะอันฝังลึกที่ต้องตีความออกมาเป็นผลลัพธ์แห่งการเฉลยปริศนา..ที่ยากจะสรุปความ...อะไรกันแน่..คือรูปทรง กลิ่น สี และ ความรู้สึกของความสุข..ของพวกนี้ล้วนไม่สำคัญ..และบอกเล่าไม่ได้..แต่ถ้าเราเชื่อว่า..ถัดจากโชคดีจะมีโชคร้าย..คุณก็ไม่ใช่ผู้คนที่โชคดี

“เหตุใดจึงมีโชคร้าย..มันดำเนินไปแบบไหน..สิ้นสุดเมื่อไร?..จะเกิดซ้ำอีกไหม..ของพวกนี้ล้วนไม่สำคัญ และ บอกเล่าไม่ได้ แต่ถ้าคนเชื่อว่า..ถัดจากโชคร้ายจะมีโชคดี.. “คุณก็คือ ผู้โชคดี”..”

เจตจำนงและศรัทธาของเหล่าผู้สร้างสรรค์หนังสือนี้..ระบุไว้อย่างน่ายกย่องและชัดเจนว่า ..ในชีวิตของคนเรานั้น..มีทั้งโชคดีและโชคร้าย..ถ้าเราเชื่อว่า..ตัวเราเองคู่ควรกับความโชคดี  เราก็จะโชคดี..ดั่งที่ได้กล่าวไป..และเราก็จะสามารถเป็นคนโชคร้ายที่ล่วงผ่านเข้ามาในชีวิต..มันจะทำให้เราตระหนักว่า..เรายังแข็งแกร่งที่จะมีชีวิตรอด..มันคือความโชคดีอย่างหนึ่ง..ที่สุดท้ายเราก็ลุกขึ้นมาได้..และ..ที่สำคัญก็คือไม่ต้องกังวลในชีวิตจนมากเกินไป..เพราะสุดท้าย..ชีวิตก็ยิ่งมีทางของมัน..

“เรื่องบางเรื่องมองใกล้ๆ..คือโชคดี มองไกลๆ คือ โชคร้าย  เรื่องบางเรื่องตอนนี้คือโชคร้าย แต่ภายหลังกลับเป็นโชคดี.. เรื่องอะไรบ้าง เล่าซิ.. ไม่รู้.. เอาเป็นว่า...เรื่องบางเรื่องก็แล้วกัน”

ชีวิตของ “จิมมี่ เหลี่ยว” คล้ายดั่งจะมืดมนในชะตาชีวิต..จากชีวิตแห่งการเรียนรู้ทางวิจิตรศิลป์..การประกอบอาชีพทางศิลปะ...ที่เหมือนถูกทะลายลงด้วยโรคร้ายจนเกือบสูญสิ้นชีวิต..

 ครั้นเมื่อร่างกายแห่งชีวิตและกลับสู่ภาวะอันเป็นปกติได้/เขาก็ได้สร้างเรื่องราวและเขียนหนังสือภาพ..จากความมืดสู่รอยทางของความเจิดกระจ่างในสัญชาตญาณแห่งชีวิต..จากโชคร้ายสู่ความไม่หวั่นเกรงต่อสิ่งใด..

“ฉันขอแลกโชคดีกับเธอได้ไหม/..ต้องขอโทษจริงๆ โชคดีของเธอ อาจบังเอิญเป็นโชคร้ายของฉัน/..เทียบกับพวกคนที่โชคดีกว่าฉัน ฉันกลับกลายเป็นคนโชคร้าย/..เทียบกับคนที่โชคร้ายกว่าฉัน..ฉันกลับกลายเป็นผู้โชคดี/..สรุปว่า..แท้จริง..เธอคือผู้โชคดี หรือ โชคร้าย” กลวิธีการสร้างตัวละครของ “จิมมี่ เลี่ยว”..ถือว่าน่าสนใจ..เพราะแม้ชีวิตโดยส่วนตัวของเขา จะตกอยู่กับความอ้างว้างเดียวดาย..แต่เขาก็สร้างละครให้มีมิตรสหายเป็นเพื่อนคู่ใจและคู่กายเสมอ..มันคือโลกแห่งชีวิตที่อบอุ่นและไม่ขาดไร้ที่พึ่งยามตกอยู่ในห้วงลำพัง

“ไม่ว่าท้องฟ้าแจ่มใสหรือฝนตก/เขาเพียงอยากถ่อเรือลำน้อยไปหาเธอ/ถ้าเธออยู่บ้าน ก็พูดกันสักหน่อย/ถ้าเธอไม่อยู่บ้าน ก็ไว้มาใหม่พรุ่งนี้/..พรุ่งนี้มีความโชคดีของพรุ่งนี้..” เราต่างต้องยอมรับร่วมกันว่า..ในท้ายที่สุด..ชีวิตของเราก็มีโอกาสที่จะคว่ำจมอยู่กับความลำพัง..มันเป็นไปได้เสมอ..และมักจะเกิดขึ้นระหว่าง..ความเหงา ความหวัง หรือ แม้แต่..ความหอมหวาน....นั่นคือวาระแห่งการตระหนักว่า..ชีวิตนั้น..คือส่วนผสมของธรรมชาติและกาลเวลาอันยากจะปฏิเสธได้..

“ถ้ารู้สึกเศร้าหมอง..เชิญมาริมทะเล/ท้องฟ้าสูงขนาดนั้น ทะเลกว้างขนาดนั้น เกลียวคลื่นสวยขนาดนั้น/..ยินดีให้ดื่มดำตลอดปีไม่มีหยุด จะยังมีอะไรคิดไม่ตกอีกล่ะ/..ถ้ารู้สึกท้อแท้ เชิญมาริมทะเล/..ท้องฟ้าไม่ใช่ของเธอ .ทะเลไม่ใช่ของเธอ หาดทรายไม่ใช่ของเธอ/..แต่ยินดีให้ดื่มด่ำตลอดปีไม่มีหยุด ../จะมีอะไรซึมโศกอีกล่ะ ..”

“จิมมี่ เลี่ยว” สร้างผลงานวรรณกรรมเช่นนี้มากกว่า 60 เรื่อง..ตลอด 20 กว่าปีของการเขียน.แต่ละเรื่องทีได้อ่านและรับรู้ในรู้สึกล้วนยกระดับจิตวิญญาณสามัญให้สูงขึ้น..สู่ความพิสุทธิ์พิศาลที่ชีวิตสมควรจะจดจำ..จากนิทานภาพเพื่อเด็กๆ..ยกระดับทางผัสสะสู่นิยายภาพของผู้ใหญ่ที่จริงจัง และจริงใจ..ในความหวัง.. “อนุรักษ์ กิจไพบูลทวี” /นักแปลดีเด่นรางวัลสุรินทร์ชา/แปลหนังสือเล่มนี้ออกมา..อย่างอิ่มเต็มไปด้วยรสชาติของภูมิรู้และจิตปัญญาอันน่ายกย่อง..

ผมนึกถึงหนังสืองาม ที่ตระการความรู้สึกงามของ “จิมมี่ เลี่ยว” /ที่เขาได้แปลไว้เป็นของขวัญของชีวิตที่ยากจะลืมเลือนนับแต่.. “ปริศนาในป่าฝัน” มาจนถึงเล่มนี้..ถือเป็นความประทับใจ..และโชคดีของคนอ่านหนังสือที่ได้พบเจอคุณค่าของงานดีๆ..ดั่งที่ “ฟรานซิส เบคอน” ได้เคยแสดงทรรศนะว่า.. “ความโชคดีไม่ใช่การปลอดไร้ความกลัวและความขัดใจ..และความโชคร้ายก็มิใช่การไร้ความปลอบประโลมและสิ้นหวัง” ..และสำหรับ “จิมมี่ เลี่ยว”กับหนังสืองามที่ยกระดับจิตใจให้เบิกบานและมีความหวังเล่มนี้..มันแทบจะเป็นอะไรในความหมายที่มาดหมายไปได้เลย..นอกจาก ...

“..อย่าเสียใจไปเลยนะ.. คนเรา...จะสวยเทียมเท่าดอกไม้..มิได้หรอก..!!!”