ลีลาชีวิต / ทวี สุรฤทธิกุล

อำนาจที่น่ากลัวคืออำนาจที่ใช้ตำแหน่งหน้าที่ แต่บางคนก็ใช้อำนาจในวิชาชีพของตนทำร้ายผู้คน

เมื่อวิทยาจุดประกายความโลภ “วาบ” ขึ้นอย่างรุนแรงในหัวใจผม หนุ่มในวัยเบญจเพสที่กำลังมองหาอนาคตอย่างผมก็ฝันเฟื่องฟุ้งเฟ้อไปไกล จากคำชักชวนของวิทยาบอกว่า มีคนที่สนใจจะร่วมลงทุนกับเขาหลายคน เป็นการลงทุนทีละเล็กละน้อย เพราะเขามีทีมนักข่าวกับโรงพิมพ์แล้ว เพียงแต่มีค่าใช้จ่ายประจำเพิ่มขึ้นบ้าง จำพวกค่าเขียนข่าว คนเรียบเรียงข่าว (รีไรเตอร์) และบรรณาธิการ โดยตัวเขาจะเป็นบรรณาธิการเอง ส่วนผมถ้าสนใจจะทำก็สามารถทำในบางช่วงเวลาได้ โดยร่วมเป็นรีไรเตอร์ที่จะเรียบเรียงข่าวต่าง ๆ ให้เป็นเรื่องเป็นราวด้วยอีกคนหนึ่ง เดือนหนึ่งก็ทำงานแค่ 2 ครั้ง ส่วนผู้สื่อข่าวที่จะเขียนข่าวส่งมาให้ เกือบทั้งหมดก็คือบรรดาหลวงพี่หลวงพ่อที่ชอบขีด ๆ เขียน ๆ หรือมีเรื่องราวที่น่าสนใจส่งมาให้ลงในนิตยสาร ก็มีค่าตอบแทนเป็น “ปัจจัย” สำหรับค่าเขียนและข่าวต่าง ๆ นั้นไป ซึ่งก็ไม่มากเพราะพระหลาย ๆ รูปก็อาสามาเขียนให้ด้วยความพร้อมใจ ที่จะมีรายจ่ายเพิ่มเติมก็คือช่างภาพและคนจัดหน้าหรือทำอาร์ตเวิร์ก ที่อาจจะใช้คนที่ทำงานพาร์ทไทม์มาช่วย ก็จะลดค่าใช้จ่ายในระยะเริ่มต้นนี้ได้ พอกิจการไปได้ดีแล้วก็ค่อยจ้างคนประจำ ซึ่งก็ต้องดูความก้าวหน้าว่า ข่าวที่ขายได้หรือมีคนสนใจอ่านจะไปในทางใด แล้วค่อยเพิ่มทีมงานไปทางนั้น

ผมฟังวิทยา “เล็กเชอร์” เรื่องการทำนิตยสารไปอย่างเคลิบเคลิ้ม คงอาจจะเป็นด้วยท่าทางที่ดูจริงจังของวิทยา ร่วมกับสาระที่เหมือนว่าออกมาจากปากของผู้เชี่ยวชาญหรือเจ้าของนิตยสารจริง ๆ เพียงแค่นั้นก็พาจิตใจผมล่องลอยไปถึงไหนต่อไหน ก่อนที่จะสะดุดกึกกับค่าใช้จ่ายก้อนแรกที่วิทยาพูดขึ้นมาเบา ๆ ว่า “ตอนนี้เวลาที่ผมไปหาหลวงพ่อหลวงพี่ตามวัดต่าง ๆ ก็อยากมีรถเล็ก ๆ สักคัน จะได้สะดวกเวลาไปโน่นมานี่ ที่สำคัญคนระดับบรรณาธิการหรือเจ้าของนิตยสารก็ต้องมีความน่าเชื่อถือ ถ้าโหนรถเมล์ไปหาหรือนั่ง บขส.ไป ก็คงจะดูไม่ดีเท่าไหร่”

“ผมไปดูรถเซกกันแฮนด์ไว้คันหนึ่ง มันเป็นรถฝรั่งที่คนทั่วไปอาจจะไม่รู้จัก แต่มันก็ดูดีกว่ารถญี่ปุ่นที่คนใช้กันเต็มถนน แถมราคาก็ไม่แพง ผมต่อรองได้มา 60,000 แต่ต้องวางมัดจำ 20,000 ที่เหลือทำไฟแนนซ์ ผ่อนเดือนละไม่ถึง 3,000 บาทอีก 2 ปี” ผมฟังไปก็พยักหน้าตามไป เหมือนเห็นดีเห็นงามด้วย จนกระทั่งเขาพูดขึ้นว่า “ผมมีเงินเก็บอยู่ส่วนหนึ่ง ถ้าคุณก๊วยเจ๋งจะช่วย ถือว่าเป็นการลงทุนก้อนแรกก็แล้วกัน เพราะรถนี้ผมจะให้ลงบัญชีเป็นรถของบริษัทผู้จัดทำนิตยสารของเรา เดี๋ยวเราก็จะต้องจดทะเบียนตั้งบริษัทต่อไป”

“บริษัทขอยืมเงินคุณก๊วยเจ๋งก่อน 10,000 นะครับ ผมจะได้ไปวางดาวน์รถยนต์”

เหมือนถูกมนตร์ความโลภสะกด ผมพาเขาไปที่ธนาคารแล้วเบิกเงินให้เขาไป 10,000 บาท เขาหายหน้าไป 2 - 3 วัน แล้วกลับมาหาผมในบ่ายวันหนึ่ง แล้วพาผมไปนั่งรถที่เขาเพิ่งไปดาวน์ออกมา มันเป็นรถยี่ห้อออสตินของอังกฤษ อายุรถน่าจะเกือบ 20 ปี แต่ทำสีมาใหม่ก็เลยดูใช้ได้ สีเขียวมะกอก กระจกติดฟิล์มกันแดดเข้มปานกลาง เสียงเครื่องยนต์ค่อนข้างดัง แต่ช่วงล่างก็ไม่แข็งเหมือนรถญี่ปุ่น เรียกว่านั่งสบาย ดูดีพอสมควร 

“คุณก๊วยเจ๋งจะลองขับดูก็ได้นะ” วิทยาเชิญชวน แต่ผมก็ไม่ได้ลองขับ เพราะตอนนั้นยังขับรถไม่เป็น

วิทยาหายหน้าไปเป็นหลายวัน แล้วก็โทรศัพท์มาบอกผมในวันหนึ่งว่า ตอนนี้กำลังตั้งบริษัท ใช้ทุนจดทะเบียน 1 ล้านบาท จำเป็นต้องเรียกหุ้นกันคนละ 1 แสน แต่ในครั้งแรกจะขอสักคนละ 50,000 บาทก่อน ถามว่าผมสะดวกไหม ผมขอเวลาคิดคืนหนึ่ง วันรุ่งขึ้นก็ตอบไปว่าเงินเก็บก็พอมี แต่จะได้คืนอะไรยังไง และมีอะไรเป็นหลักฐานการลงทุนนั้น วิทยาก็ตอบอย่างคล่องแคล่วเช่นเคยว่า เขาจะมีใบหุ้นของบริษัทและสัญญากู้ยืมให้ โดยตั้งยอดขายเดือนละ 2 ครั้ง ๆ ละ 15,000 ฉบับ เฉพาะที่รับสมาชิก ซึ่งเขาอ้างว่าเขามีจดหมายไปทุกวัดกว่า 30,000 วัดนั้นแล้ว มีสมัครกลับมายังนับไม่เสร็จแต่ก็คงจะเป็นหลักพัน บางวัดก็มีโยมสมัครสมาชิกให้  รวมแล้วก็น่าจะได้หลักหมื่น รวมที่มีขาจรมาซื้อ 15,000 ฉบับนั้นก็เป็นจำนวนที่ตั้งไว้อย่างต่ำ ๆ รวมเดือนละ 30,000 ฉบับเป็นอย่างน้อย ราคาขายฉบับละ 15 บาท หักต้นทุนการผลิตและกำไรสายส่งกับร้านค้าแล้วก็น่าจะเหลือเดือนละไม่ตำกว่า 100,000 บาท หักคืนหุ้นส่วนหุ้นละ 10,000 บาท 10 เดือนก็คืนเงินทั้งหมด จากนั้นก็เป็นกำไร คือเดือนละ 10,000 บาทไปโดยตลอด หรืออาจจะมากกว่านั้นถ้ายอดขายเพิ่มขึ้น เช่น ทุก ๆ 1,000 ฉบับ หุ้นส่วนจะได้เพิ่มอีกเดือนละ 1 - 2 พันบาท แล้วแต่ต้นทุนที่จะมีผันแปรไป

ผมฟังวิทยาสาธยายจนเพลิน จนลืมถามไปถึงความเสี่ยงหรือการขาดทุน แต่ก็ยอมถอนเงินที่เก็บมาเกือบ 2 ปีไปให้เขา ซึ่งวิทยาบอกว่าจะเริ่มพิมพ์และจัดจำหน่ายในเดือนหน้า จากนั้นพอถึงเดือนต่อไปที่เขาบอก ผมก็โทรไปถามความคืบหน้า เขาก็ตอบอย่างเข้มแข็งว่า ตัวหนังสือได้เตรียมต้นฉบับไว้เรียบร้อย เพียงแต่การจดทะเบียนบริษัทยังไม่เรียบร้อย เพราะหุ้นส่วนบางคนยังไม่ส่งเงินมาให้ ทำให้ยังเริ่มกระบวนการจัดพิมพ์ไม่ได้ แต่ถ้าผมจะร่วมลงทุนเพิ่มก็ได้นะ ก็ให้มาจ่ายในส่วนที่หุ้นส่วนคนนั้นยังจ่ายไม่ครบ ซึ่งผมก็ตอบไปว่าผมไม่เงินอีกแล้ว (ทั้งที่ยังพอมีเหลืออีกบ้าง แต่เริ่มเอะใจว่าจะโดนหลอกลวง) พอผมถามว่าได้เงินค่าหุ้นมาแล้วเท่าไหร่ เขาก็อ้อมแอ้มไม่ยอมตอบ เพราะผมทราบมาว่าค่าจัดพิมพ์บางส่วนสามารถนำเงินที่ได้จากการจำหน่ายนั้นมาจ่ายภายหลังได้ รวมถึงถ้าหุ้นส่วนลงขันมาแค่ 3 - 4 แสนบาท ก็คัพเว่อร์ค่าใช้จ่ายในการเริ่มต้นนั้นได้พอเพียงแล้ว

ผมโทรศัพท์ไปหาเขาอีก 4 - 5 ครั้ง ในอีก 2 - 3 เดือนต่อมา แต่ก็ช่างเต็มไปด้วยความลำบาก บางทีไม่ทันได้คุยก็วางสายไปเสียเฉย ๆ และในครั้งสุดท้ายก็มีคนมารับแทน แล้วบอกว่าเขาได้ลาออกจากโรงพิมพ์ไปแล้ว ทั้งยังมีคนที่โทรศัพท์มาเหมือนผมนี้อีกเป็นสิบ ๆ คน เกือบทุกคนก็ด่าเขาอย่างสาดเสียเทเสีย และลามปามมาถึงโรงพิมพ์ที่จ้างคนเลว ๆ แบบนี้มาทำงาน ผมเองก็อยากจะด่าหรือหาคำแรง ๆ มาพูด แต่ก็นึกคำพูดเหล่านั้นไม่ได้ เพราะความรู้สึกมันเจ็บปวดไปทั้งตัว จนสมองทึบและปากขยับไม่ได้

หลายปีผ่านไป ผมยังติดตามข่าวคราวของวิทยาอยู่โดยตลอด บางทีก็ให้คนรู้จักหรือลูกศิษย์ที่เป็นตำรวจไปช่วยตามหา บ้างก็บอกว่าเขาน่าจะเปลี่ยนชื่อรวมถึงนามสกุลนั้นไปแล้ว และถ้าเขาทำอาชีพฉ้อโกงหากิน เขาก็อาจจะถึงขั้นผ่าตัดแปลงโฉม ซึ่งวิทยาการในสมัยหลัง ๆ สามารถทำได้โดยง่าย หรือถ้าเขายังมีชีวิตอยู่เขาก็คงจะหลอกลวงผู้คนจนร่ำรวยเพียงพอแล้ว จึงไปเก็บตัวอยู่เงียบ ๆ ในที่ไหนสักแห่ง ซึ่งบางทีก็อาจจะไปอยู่ในต่างประเทศ หรือถ้าเขายังไม่รู้จักพอ ก็อาจจะต้องมีข่าวเขาออกมาหากินชั่ว ๆ แบบนี้อย่างแน่นอน

ท่านผู้อ่านลองทายสิครับว่า คนเลว ๆ แบบนี้จะ “เป็น อยู่ คือ” อย่างไร ขอให้ติดตามตอนต่อไปครับ