เมื่อวันที่ 19 ก.พ. 67 กระทรวงวัฒนธรรม(วธ.) จัดแถลงข่าวพิธีอัญเชิญพระบรมสารีริกธาตุและพระอรหันตธาตุของพระสารีบุตรและพระโมคคัลลานะ จากสาธารณรัฐอินเดีย มาประดิษฐานเป็นการชั่วคราว ณ ประเทศไทย เพื่อเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในโอกาสพระราชพิธีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 6 รอบ 28 กรกฎาคม 2567 ระหว่างวันที่ 22 ก.พ. ถึง 19 มี.ค. โดยนายเสริมศักดิ์ พงษ์พานิช รมว.วัฒนธรรม กล่าวว่า พระบรมสารีริกธาตุและพระอรหันตธาตุของพระสารีบุตรและพระโมคคัลลานะจะมาถึงประเทศไทยวันที่ 22 ก.พ. และจะมีการอัญเชิญมาประดิษฐานไว้ที่พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร

จากนั้นในวันที่ 23 ก.พ. เวลา 16.00 น. วธ.มีการจัดริ้วขบวนอัญเชิญอย่างยิ่งใหญ่ เคลื่อนออกจากพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติพระนคร ไปยังมณฑป มณฑลพิธีท้องสนามหลวง โดยจัดเป็นขบวนโคม ขบวนการแสดง 4 ภาค การแสดงกลุ่มชาติพันธุ์ การแสดงจากอินเดีย ขบวนธงชาติไทย ธงชาติอินเดีย ธงธรรมจักร และธงฉัพพรรณรังสี ขบวนโคมประทีปและโคมดอกบัว ขบวนรถมาฆบูชาประดิษฐานพระพุทธรูปปางแสดงโอวาทปาติโมกข์ รถบุปผชาติประดิษฐานพระบรมสารีริกธาตุและพระอรหันตธาตุ ขบวนเฉลิมพระเกียรติ และขบวนจิตอาสา เป็นต้น โดยมี นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี เป็นประธาน และกราบทูลเชิญสมเด็จพระสังฆราช เป็นประธานฝ่ายสงฆ์ มีพิธีเจริญพระพุทธมนต์ ก่อนเปิดให้ประชาชนเข้าสักการบูชา ตั้งแต่วันที่ 24  ก.พ. – 3 มี.ค  เวลา 09.00 – 20.00 น. ในการนี้ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าพระบรมราชินี จะเสด็จพระราชดำเนินมาสักการะพระบรมสารีริกธาตุและพระอรหันตธาตุ ในวันที่ 26 ก.พ. เวลา 09.00 น. ด้วย

“หลังจากประดิษฐานในส่วนกลางเสร็จสิ้นแล้ว จะอัญเชิญไปประดิษฐานในส่วนภูมิภาคใน 3 จังหวัด ให้ประชาชนมาสักการบูชา ได้แก่ ที่หอคำหลวง อุทยานหลวงราชพฤกษ์ จ.เชียงใหม่ ระหว่างวันที่ 5 - 8 มี.ค. ที่วัดมหาวนาราม จ.อุบลราชธานี ระหว่างวันที่ 10 – 13 มี.ค. และที่วัดมหาธาตุวชิรมงคล จ.กระบี่ ระหว่างวันที่ 15 – 18 มี.ค.” รมว.วัฒนธรรม กล่าว

ด้าน นายนาเคศ สิงห์ เอกอัครราชทูตอินเดียประจำประเทศไทย กล่าวว่า รัฐบาลอินเดียยินดีที่ได้มีโอกาสเฉลิมฉลองเนื่องในโอกาสมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 6 รอบวันที่ 28 กรกฎาคม 2567 ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ด้วยความสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณ ซึ่งการอัญเชิญพระบรมสารีริกธาตุและพระอรหันตธาตุครั้งนี้ แสดงถึงไมตรีจิตรร่วมถวายพระพรในโอกาสสำคัญ เป็นการเชื่อมสัมพันธ์ดีที่มีนานนับพันปี นับเป็นครั้งแรกหลังพุทธกาล ที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้เสด็จมาประทับร่วมกับองค์พระอัครสาวกเอกเบื้องซ้ายและเบื้องขวาในรอบ 2567 ปี ในโอกาสวันมาฆบูชา เป็นการเฉลิมฉลองวันสำคัญทางพระพุทธศาสนาในประเทศไทยครั้งประวัติศาสตร์

“การมาเยือนขององค์พระธาตุศักดิ์สิทธิ์ในครั้งนี้ ไม่บ่อยนักที่จะนำออกนอกประเทศ รัฐบาลอินเดียนำโดยนายกรัฐมนตรีนเรนทระ โมที ได้ตกลงที่จะส่งพระบรมสารีริกธาตุมายังประเทศไทย โดยคำนึงถึงความสำคัญสูงสุดในการเฉลิมพระชนมพรรษาของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และเพื่อความสัมพันธ์อันใกล้ชิดดั่งญาติมิตรของระหว่างสองประเทศ นอกจากนี้ชาวอินเดียที่อาศัยอยู่ในประเทศได้กระชับความสัมพันธ์ให้แน่นแฟ้นยิ่งขึ้นในการมีส่วนร่วมในทางธุรกิจ การเมือง การศึกษา และวัฒนธรรมของประเทศไทย และเชื่อมั่นว่าจะเป็นจุดหมายสำคัญทางประวัติศาสตร์ในความสัมพันธ์ทวิภาคีอินเดีย-ไทย” นายนาเคศ สิงห์ กล่าว

ด้าน ดร.สุภชัย วีระภุชงค์ เลขาธิการ สถาบันโพธิคยาวิชชาลัย 980 กล่าวว่า งานมหามงคลนี้เกิดขึ้นจากสามัคคีธรรมของทุกฝ่าย ในการเชื่อมต่อพลังศรัทธาประชาชน 2 ภูมิภาคจากลุ่มแม่น้ำคงคา คือ สาธารณรัฐอินเดีย ถิ่นกำเนิดพระพุทธศาสนา สู่ลุ่มแม่น้ำโขง คือ ไทย กัมพูชา ลาว เมียนมา และเวียดนาม ซึ่งเป็นดินแดนพระพุทธศาสนาประดิษฐานอยู่อย่างมั่นคง โดยมีต้นทางคือสถาบันโพธิคยาฯ จัดโครงการธรรมยาตราพระบรมสารีริกธาตุ มหานทีคงคา ลุ่มน้ำโขง ขึ้น มีรัฐบาลไทยโดยวธ. กรมการศาสนา เป็นผู้อัญเชิญพระบรมสารีริกธาตุ พร้อมพระอรหันตธาตุพระอัครสาวก พระสารีบุตร พระมหาโมคคัลลานะ มีผู้แทนระดับสูงจากรัฐบาลอินเดียเป็นผู้อัญเชิญมา ด้วยการประสานงานจากสถานทูตอินเดียประจำประเทศไทยอย่างใกล้ชิด จึงควรถือโอกาสนี้นำธรรมวิชัยจากแดนพุทธภูมิมาสร้างศาสนาธรรมให้ปักหลักมั่นคง ด้วยการนำคำสอนขององค์พระศาสดาซึ่งคือปริยัติธรรม นำมาปฏิบัติ เพื่อให้เกิดปฏิเวธธรรม มีความเข้าใจและเข้าถึงธรรมะได้จนสามารถยกระดับจิตใจให้ทุกคนในแผ่นดินลุ่มน้ำโขงได้มีความสุขกับการใช้ชีวิตต่อไปโดย ไม่เบียดเบียนกัน รู้จักคำว่าอภัยและรับรู้ลมหายใจให้มากที่สุด เพื่อสร้างเครือข่ายเชื่อมโยงธรรมะให้เกิดขึ้น เพื่อสืบทอดความรัก ความสามัคคี และสร้างสันติสุขโดยธรรมให้เกิดขึ้น สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่เว็บไซต์กรมการศาสนา www. Dra.go.th และสายด่วนวัฒนธรรม 1765.