คุยเฟื่องเรื่องต่างประเทศ / ดร.วิวัฒน์  เศรษฐช่วย

แม้ว่าขณะนี้สงครามยูเครนจะดำเนินติดต่อกันมาจนครบสองปีเต็มในวันที่ 24 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 2024 แล้วก็ตาม แต่ดูเหมือนว่าคงจะยืดเยื้อยาวนานอย่างไม่มีท่าทีว่าจะยุติลงเมื่อใด

จากการรายงานของ “ศูนย์ข้อมูล Statista” ในช่วงสองปีที่ผ่านมาในหัวข้อที่ว่า จำนวนประชากรชาวยูเครนเสียชีวิต 10,582 คน และประธานาธิบดีเซเลนสกีของยูเครนยืนยันเมื่อวันอาทิตย์ที่ 25 กุมภาพันธ์ ว่า     มีทหารยูเครนเสียชีวิตลงกว่า 31,000 นาย แถมยังมีผู้ที่ต้องจากบ้านห่างเมืองอพยพลี้ภัย อีกถึง 17.3 ล้านคนเลยทีเดียว (สำนักข่าวบีบีซีของวันที่ 25 กุมภาพันธ์ 2024)!!!

และจากข้อมูลของ “วิกิพีเดีย” ล่าสุดนี้เปิดเผยออกมาว่า โดยเฉลี่ยขณะนี้มีพลเรือนชาวยูเครนเสียชีวิตจากสงครามตกวันละ 42 คน

และจากข้อมูลของสภาคองเกรสสหรัฐฯรายงานครั้งล่าสุดนี้ว่า ฝ่ายรัสเซียก็มีทหารเสียชีวิตและบาดเจ็บราวๆ 315,000 คน ส่วนกระทรวงกลาโหมอังกฤษประเมินว่าทหารรัสเซียเสียชีวิตอยู่ที่ 350,000 (สำนักข่าวบีบีซีของวันที่ 25 กุมภาพันธ์ 2024)

และจากข้อมูลของ “ศาสตราจารย์เดวิด หลุยส์”แห่ง “มหาวิทยาลัยเอ็กเซเตอร์” ซึ่งเป็นมหาวิทยาลัยชั้นนำของอังกฤษเปิดเผยออกมาว่าในช่วงสองปีที่ผ่านมารัสเซียผนวกดินแดนของยูเครนไปแล้วประมาณ 11%  โดยศาสตราจารย์ท่านนี้ให้ทรรศนะว่า การที่รัสเซียกระทำเยี่ยงนี้ไม่คุ้มค่ากับจำนวนทหารที่ต้องสูญเสียไป

นอกจากนั้นยังมี “ศาสตราจารย์แอนโทนี คิง” แห่งมหาวิทยาลัยเอ็กเซเตอร์ สถาบันการศึกษาแห่งเดียวกันก็ได้ประเมินออกมาว่า “สงครามยูเครนยังไม่มีแนวโน้มว่าจะยุติลงในเร็ววันนี้ และดูเหมือนว่าสงครามในปีที่ 3 คงจะทวีความร้ายแรงสูงมากขึ้นเรื่อยๆ”

ส่วนความฝันของ “ประธานาธิบดิวลาดีมีร์ ปูติน” ที่คาดหวังว่า จะผนึกยูเครนอยู่ในวงโคจรของรัสเซียได้อย่างง่ายดาย กลายเป็นเรื่องที่ฝันไกลตัว

อย่างไรก็ตามการที่สองนักวิชาการแห่งมหาวิทยาลัยเอ็กเซเตอร์ ยังเล็งเห็นในทำนองเดียวกันว่า คงจะเป็นไปได้ยากที่ยูเครนจะสามารถเรียกคืนดินแดนที่ถูกยึดไปกลับคืนมาได้ เพราะขณะนี้อาวุธสงครามหร่อยหรอลดน้อยลง!!!

อีกทั้งความช่วยเหลือที่สหรัฐอเมริกาเคยมอบให้แก่ยูเครน ก็ยังเป็นที่กังขาสืบเนื่องมาจากขณะนี้สภาผู้แทนฯของสหรัฐฯที่มีพรรครีพับลิกันคุมเสียงข้างมากไม่สนใจและไม่เห็นด้วยในการที่จะเพิ่มงบประมาณช่วยเหลือฉุกเฉิน 95.3 พันล้านดอลลาร์ให้แก่ยูเครน ทั้งๆที่วุฒิสภาได้อนุมัติด้วยมติท่วมท้น 70 ต่อ 29 ไปแล้วเมื่อวันที่ 13 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 2024 ที่ผ่านมา

และทันทีที่วุฒิสภาอนุมัติงบประมาณช่วยเหลือยูเครน ปรากฏว่า “ประธานสภาฯไมค์ จอห์นสัน”ได้ออกมากล่าวแถลงว่า เขาจะไม่สนับสนุนมติของวุฒิสภา โดยเขาเดินตามเป้าหมายที่อดีตประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ขีดเส้นเอาไว้ให้ (ข้อมูลจากซีเอ็นเอ็น เมื่อวันที่ 13 กุมภาพันธ์ 2024) จึงมีผลทำให้เกิดกำกวมไม่แน่นอนว่า สหรัฐฯจะช่วยเหลือสนับสนุนยูเครนต่อไปอีกหรือไม่?

อีกทั้งประธานสภาฯไมค์ จอห์นสัน ยังเกรงว่าหากเขานำเรื่องงบประมาณด้านการช่วยเหลือยูเครนเป็นยอดเงินถึง  95.3 พันล้านดอลลาร์เข้าไปพิจารณาในสภาผู้แทนฯ จะถูกต่อต้านอย่างหนัก และอาจจะโดนไล่ออกจากตำแหน่งประธานสภาฯ สืบเนื่องมาจาก “ส.ส.เทย์เลอร์ กรีน” จากรัฐจอร์เจีย เคยเอ่ยปากขู่เอาไว้ว่า หากประธานสภาฯไมค์ จอห์นสัน สนับสนุนและเห็นด้วยด้านเงินช่วยเหลือให้แก่ยูเครนตามความต้องการของ “ประธานาธิบดีโจ ไบเดน” แล้วละก็ เธอจะหาทางโค่นประธานสภาฯลงจากตำแหน่ง ทำนองเดียวกันกับอดีตประธานสภาฯคนก่อนที่ถูกปลดกลางอากาศจนกระเด็นออกจากตำแหน่งมาแล้ว!!!

และยังดูเหมือนว่าในขณะนี้ความคิดเห็นของชาวอเมริกันถูกแบ่งออกเป็นสองฝักสองฝ่าย โดยแรกเริ่มเดิมทีชาวอเมริกันถึง 60% เห็นชอบต่อการที่สหรัฐฯให้การสนับสนุนยูเครน แต่ขณะนี้สมาชิกในค่ายพรรครีพับลิกัน 55% ต้องการที่จะให้สงครามยุติลงอย่างรวดเร็ว ส่วนสมาชิกค่ายพรรคเดโมแครต 65% ต้องการให้สหรัฐฯช่วยเหลือยูเครนต่อไป

อนึ่งความคิดเห็นส่วนใหญ่ 61% ของชาวอเมริกันต้องการให้ยูเครนหาหนทางเจรจายุติสงคราม

ส่วนในแง่ของประธานาธิบดิวลาดีมีร์ ปูติน นั้น ตอนที่เขาสั่งให้กองกำลังทหารรัสเซียบุกเข้าสู่ยูเครนเมื่อสองปีก่อนหน้านี้ เขาคาดหวังเอาไว้ว่าทหารรัสเซียคงจะสามารถยึดยูเครนได้อย่างง่ายดาย  แต่ตอนนี้กลับตาลปัตรมิได้เป็นอย่างที่เขาคาดหวังเอาไว้

อีกทั้งก่อนหน้านี้ประธานาธิบดีปูติน คิดว่านาโตเป็นศัตรูและยังทำตัวเป็นภัยร้ายที่คอยก่อกวนคุกคามรัสเซียมาอย่างยาวนาน และตอนนี้นาโตกลับมีความแข็งแกร่งมากยิ่งขึ้น แถมยังสามารถเพิ่มสมาชิกใหม่อีกสองประเทศ นั่นก็คือฟินแลนด์และสวีเดน อีกทั้งสมาชิกนาโตยังร่วมกันจ่ายงบประมาณด้านค่าใช้จ่ายทางการทหารเพิ่มขึ้น 8.3% จากปี 2022 อีกด้วย

ทั้งนี้ยูเครนก็มีความกระตือรือร้นต้องการที่จะเข้าไปร่วมเป็นสมาชิกขององค์การนาโต เพื่อขอความช่วยเหลือในด้านการฝึกอบรมทหาร การจัดเตรียมกองทัพ และด้านการสร้างอุตสาหกรรมป้องกันประเทศ มีผลทำให้รัสเซียเกิดความวิตกกังวลมิใช่น้อยเลยทีเดียว

และขณะที่สงครามยูเครนกำลังอยู่ในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อ อดีตประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ได้ออกมาแถลงเมื่อวันที่ 10 กุมภาพันธ์ 2024 ว่า  “ยินดีที่จะเปิดโอกาสให้รัสเซียทำอะไรก็ได้ตามใจชอบต่อองค์การนาโต เพราะสมาชิกในองค์การนาโตบางประเทศไม่จ่ายเงินทางด้านกลาโหมตามหลักเกณฑ์”

ทำให้ ประธานาธิบดีโจ ไบเดน อดรนทนไม่ได้ต้องออกมาโต้ตอบว่า “โดนัลด์ ทรัมป์ กำลังแสดงธาตุแท้ของนิสัยให้เห็นอย่างชัดเจนว่า เขาต้องการจะละทิ้งพันธมิตรในองค์การนาโต ที่เป็นพันธมิตรที่ดีของเรา” ( ข้อมูลจากซีเอ็นเอ็น เมื่อวันที่ 11 กุมภาพันธ์ 2024)

ส่วน “เจนส์ สโตลเทนเบิร์ก” เลขาธิการขององค์การนาโต ก็ได้ออกมากล่าวว่า การที่อดีตประธานาธิบดีทรัมป์ออกมาให้ความคิดเห็นเกี่ยวกับพันธมิตรเยี่ยงนี้ อาจจะมีผลทำให้ความปลอดภัยด้านการทหารของสหรัฐฯและภาคพื้นยุโรปตกอยู่ในความเสี่ยง โดยเลขาธิการองค์การนาโตได้กล่าวเสริมต่อไปอีกว่า “การโจมตีใดๆก็ตามที่จะมีต่อองค์การนาโต จะต้องได้รับตอบสนองคืนอย่างรุนแรงหลายเท่าตัว”

หากวิเคราะห์ด้วยใจเป็นธรรมแล้วดูเหมือนว่าอดีตประธานาธิบดีทรัมป์ ขาดวิสัยทัศน์ที่กว้างไกล โดยเขาอาจจะลืมไปว่าหากรัสเซียโจมตีสมาชิกชาติใดๆของนาโต ก็ย่อมจะขยายกลายเป็นชนวนจุดให้เกิดสงครามในวงกว้าง!!!

และในช่วงเวลาเดียวกันนี้ ประธานาธิบดีปูตินก็ได้ออกมาให้สัมภาษณ์ว่า เขาอยากจะเห็นประธานาธิบดีโจ ไบเดน ชนะการเลือกตั้งในสมัยที่สอง โดยเขาได้กล่าวอธิบายต่อไปว่าประธานาธิบดีโจ ไบเดน มีประสบการณ์มากกว่าและเขายังสามารถคาดเดาได้ว่า ประธานาธิบดีโจ ไบเดน จะทำอะไรต่อไป แต่เขาไม่สามารถเดาใจของอดีตประธานาธิบดีทรัมป์ได้เลย (ข้อมูลจากสำนักข่าวเอพี เมื่อวันที่ 15 กุมภาพันธ์ 2024)

กล่าวโดยสรุปทั้งนี้และทั้งนั้นในช่วงสองปีที่ผ่านมา เป็นที่ชัดเจนแล้วว่า “ประธานาธิบดีวลาดิมีร์ ปูติน” ยังไม่สามารถเอาชนะในสงครามยูเครนได้ สืบเนื่องมาจากชาวยูเครนมีความเป็นชาตินิยมและยึดมั่นที่จะยืนหยัดต่อสู้กับรัสเซียในทุกๆวิถีทาง และยูเครนยังหันไปเลือกค่ายตะวันตก นับเป็นฝันร้ายของรัสเซียที่ถึงแม้ว่าประธานาธิบดีปูตินจะยอมทุ่มเทจนมีผลทำให้ทหารรัสเซียต้องเสียชีวิตไปเป็นจำนวนมาก แถมขณะนี้องค์การนาโตกลับมีศักยภาพเข้มแข็งเพิ่มมากขึ้น ฉะนั้นการที่ยูเครนจะตกไปอยู่ในวงโคจรของรัสเซียคงจะไม่ใช่เรื่องง่ายๆละครับ