ผู้สื่อข่าวรายงาน ว่า ตามนโยบายรัฐบาลของนายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี, พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม,นายชาดา ไทยเศรษฐ์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย, นายอรรษิษฐ์ สัมพันธรัตน์ อธิบดีกรมการปกครอง และ พล.ต.ท.ภาณุรัตน์ หลักบุญ เลขาธิการ ป.ป.ส. เน้นการแก้ไขปัญหายาเสพติด ทั้งระบบด้วยการสืบสวนขยายผลและวิเคราะห์ความเชื่อมโยงเครือข่ายของนักค้ายาเสพติด อย่างรู้เท่าทัน เพื่อให้สามารถแก้ไขปัญหาตั้งแต่ต้นทาง – กลางทาง – ปลายทาง ได้อย่างมีประสิทธิภาพ 

สำนักงานตำรวจแห่งชาติ โดย พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล ผบ.ตร., พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ รอง ผบ.ตร., พล.ต.อ.ธนา ชูวงศ์ รอง ผบ.ตร., พล.ต.ท.สำราญ นวลมา ผู้ช่วย ผบ.ตร., พล.ต.ท.อัคราเดช พิมลศรี ผู้ช่วย ผบ.ตร. และ พล.ต.ท.นิรันดร เหลื่อมศรี ผู้ช่วย ผบ.ตร. จึงสั่งการให้มีการสืบสวนสอบสวนขยายผลจากกรณีจับกุมยาเสพติดรายสำคัญทุกราย รวมถึงวิเคราะห์ความเชื่อมโยงไปถึงกลุ่มผู้ผลิต นำเข้า ผู้ลำเลียง ผู้จัดเก็บ ผู้จำหน่าย และสกัดกั้นการลำเลียงยาเสพติด จากแนวชายแดนเข้ามาถึงพื้นที่ตอนในของประเทศ 

ตำรวจภูธรภาค 1 โดย พล.ต.ท.จิรสันต์ แก้วแสงเอก ผบช.ภ.1, พล.ต.ต.นราเดช ทิพย์รักษ์ รอง ผบช.ภ.1, พล.ต.ต.ชยานนท์ มีสติ รอง ผบช.ภ.๑/ศอ.ปส.ภ.1, บช.ปส. โดย พล.ต.ท.คีรีศักดิ์ ตันตินวะชัย ผบช.ปส. พล.ต.ต.สมเกียรติ วัฒนพรมงคล รอง ผบช.ปส., พล.ต.ต.สมบูรณ์ เทียนขาว รอง ผบช.ปส., พล.ต.ต.ออมสิน ตรารุ่งเรือง รอง ผบช.ปส. และ พล.ต.ต.พลัฏฐ์ วิเศษสิงห์ รอง ผบช.ปส., ขกท. โดย พล.ต.อาทิตย์ ม่วงเล็ก ผบ.ขกท., ขกท.ศปก.นสศ. โดย พ.อ.สุพจน์ สวาคฆพรรณ ผบ.ขกท.ศปก.นสศ./ผู้ทรงคุณวุฒิอนุกรรมการขับเคลื่อนการดำเนินการป้องกันและปราบปรามผู้มีอิทธิพล กระทรวงมหาดไทย​, ว่าที่ร้อยตรี อากาศ ปานแย้ม นักวิเคราะห์นโยบายและแผนเชี่ยวชาญ ภ.จว.สระบุรี โดย พล.ต.ต.ธรรมนูญ เชาวะวนิชย์ ผบก.ภ.จว.สระบุรี, พ.ต.อ.เกษดา วัชรานนท์ รอง ผบก.ภ.จว.สระบุรี และ พ.ต.อ.ไกรสร ศรีอำพร ผกก.สส.ภ.จว.สระบุรี/หัวหน้า ชปส.ศอ.ปส.ภ.1 ชุดที่ 3 และ สำนักงาน ป.ป.ส. ภาค 1 โดย นางจีระพรรณ กาญจนประดิษฐ์ ผอ.ปปส.ภาค 1 ได้สั่งการให้เจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องทุกนายในสังกัดบูรณาการร่วมกันสืบสวนจับกุมบุคคลในเครือข่ายยาเสพติด

ต่อมาเจ้าหน้าที่ตำรวจชุดปฏิบัติการป้องกันและปราบปรามยาเสพติดตำรวจภูธรภาค 1 ชุดที่ 2 และเจ้าหน้าที่ทหารจากหน่วยข่าวกรองทางทหาร ศูนย์ปฏิบัติการ หน่วยบัญชาการสงครามพิเศษ ได้สืบสวนขยายผล จากการจับกุมคดียาเสพติดรายสำคัญในพื้นที่ อ.วังน้อย จว.พระนครศรีอยุธยา จนนำไปสู่การจับกุมนักค้ายายาเสพติดและทีมลำเลียงยาเสพติดได้จำนวนมากหลายคดีและทำให้ทราบว่า นายจรัสหรือคิว อายุ 47 ปี และ นายธีรนันท์ หรือเค อายุ 45 ปี ทำหน้าที่ในการลำเลียงยาเสพติดจากพื้นที่ภาคเหนือ เพื่อลงมาส่งมอบให้กับกลุ่มผู้ค้ายาเสพติดในพื้นที่ตอนในของประเทศไทย จึงรายงานให้ผู้บังคับบัญชาทราบและได้รับคำสั่งให้สืบสวนจับกุม จึงได้บูรณาการกำลังกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องสืบสวนติดตามความเคลื่อนไหวของนายจรัสหรือคิวฯ และ นายธีรนันท์หรือเคฯ

ต่อมา ในวันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2567 จากการสืบสวนทราบว่า นายจรัสหรือคิวฯ และนายธีรนันท์ฯ ผู้ต้องหา ใช้รถบรรทุก HINO สีขาว เป็นยานพาหนะในการลำเลียงยาเสพติด และใช้รถยนต์ยี่ห้อโตโยต้า วีโก้ สีดำ เป็นยานพาหนะในการสำรวจเส้นทางด่านตรวจยาเสพติดของเจ้าหน้าที่ตำรวจ เจ้าหน้าที่ชุดจับกุมจึงสะกดรอยติดตามจนถึงบริเวณลานจอดรถภายในสถานีบริการน้ำมันแห่งหนึ่ง (บริเวณขาเข้า กทม.) ม.3 ต.หันสัง อ.บางปะหัน จ.พระนครศรีอยุธยา เจ้าหน้าที่ชุดจับกุมจึงเข้าแสดงตนเข้าตรวจสอบ และสามารถจับกุมตัวผู้ต้องหาได้พร้อมของกลาง 1.ยาเสพติดให้โทษประเภท 1  (ยาบ้า)  จำนวน 50 กระสอบ รวมจำนวน 5,000 มัด ประมาณ 10,000,000 เม็ด 2.รถบรรทุก HINO สีขาว จำนวน 1 คัน (ใช้ลำเลียงยาเสพติด)3.รถยนต์ยี่ห้อโตโยต้า วีโก้ สีดำ จำนวน 1 คัน (ใช้สำรวจเส้นทาง) โดยกล่าวหานายจรัสหรือคิวฯ และนายธีรนันท์ฯ กระทำผิดฐาน ร่วมกันจำหน่ายยาเสพติดให้โทษประเภท 1 (ยาบ้าหรือเมทแอมเฟตามีน) โดยการมีไว้เพื่อจำหน่ายโดยไม่ได้รับอนุญาต โดยเป็นการกระทำเพื่อการค้า และก่อให้เกิดการแพร่กระจายในกลุ่มประชาชน โดยจับกุมได้ที่ลานจอดรถภายในสถานีบริการน้ำมันแห่งหนึ่ง (บริเวณขาเข้า กทม.) ม.3 ต.หันสัง อ.บางปะหัน จ.พระนครศรีอยุธยา เมื่อวันที่ 29 กุมภาพันธ์ 2567 เวลาประมาณ 19.15 น.

จากการซักถามขยายผล นายจรัสหรือคิวฯ และนายธีรนันท์ฯ รับว่าได้ร่วมกันขับรถบรรทุกยาเสพติดเดินทางจาก จังหวัดพะเยา มาส่งมอบให้กับผู้รับในพื้นที่จังหวัดพระนครศรีอยุธยา โดยนายจรัสหรือคิวฯ จะได้รับค่าจ้างเป็นเงิน จำนวน 200,000 บาท และนายธีรนันท์ฯ จะได้รับค่าจ้างเป็นเงินจำนวน 30,000 บาท และได้ตรวจสอบประวัติผู้ต้องหาทั้งสองแล้วพบว่า นายจรัสหรือคิวฯ เคยถูกจับกุมดำเนินคดีในฐานความผิดเสพยาเสพติดให้โทษประเภท 1 สภ.เวียงสา จ.น่าน

ซึ่งการจับกุมในครั้งนี้ เป็นการยับยั้งการแพร่กระจายของยาเสพติดไปสู่ประชาชนได้เป็นจำนวนมาก ซึ่งยาเสพติดของกลางหากถูกนำออกขายสู่ท้องตลาดจะมีมูลค่าสูงถึงประมาณ 300,000,000 บาท และเจ้าหน้าที่ชุดจับกุมจะขยายผลถึงกลุ่มลูกค้า ผู้สั่งการ และบุคคลในเครือข่ายยาเสพติด รวมถึงทรัพย์สินที่เกี่ยวเนื่องกับการกระทำความผิด โดยจะนำมาตรการสมคบ สนับสนุนช่วยเหลือ ฟอกเงิน และยึดทรัพย์สิน มาใช้ดำเนินการกับบุคคลในเครือข่ายยาเสพติดต่อไป