เข้าสู่สถานการณ์และบรรยากาศของศึกนัดล้างตา ในสงครามการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ 2024 (พ.ศ. 2567) ระหว่างนายโดนัลด์ ทรัมป์ อดีตประธานาธิบดีสหรัฐฯ กับนายโจ ไบเดน ประธานาธิบดีสหรัฐฯ คนปัจจุบัน อย่างเต็มรูปแบบแล้ว

แม้จะยังไม่เป็นทางการ ผ่านการรับรองในมติที่ประชุมพรรครีพับลิกัน ที่จะมีขึ้นในเดือนกรกฎาคม และมติที่ประชุมพรรคเดโมแครต ซึ่งจะมีขึ้นในเดือนสิงหาคมก็ตาม

เพราะปรากฏว่า สถานการณ์ของทางพรรครีพับลิกัน เหลือ “แคนดิเดต” หรือผู้สมัครรับเลือกตั้งเพียงรายเดียว นั่นคือ อดีตประธานาธิบดีทรัมป์ เท่านั้น

ภายหลังจากผู้สมัครรับเลือกตั้งคู่แข่งคนสำคัญของเขา คือ “นางนิกกี เฮลีย์” อดีตเอกอัครราชทูตสหรัฐฯ ประจำสหประชาชาติหรือยูเอ็น และอดีตผู้ว่าการรัฐเซาท์แคโรไลนา 2 สมัย ประกาศยุติการชิงชัยในศึกเลือกตั้งขั้นต้นเพื่อเป็นตัวแทนพรรครีพับลิกัน ในการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ 2024 ที่จะมีขึ้นในปลายปีนี้

นางนิกกี เฮลีย ประกาศยุติการชิงชัยในการเลือกตั้งขั้นต้นของพรรครีพับลิกัน ระหว่างการปราศรัยที่รัฐเซาท์แคโรไลนา รัฐบ้านเกิดของเธอ เมื่อกลางสัปดาห์ที่ผ่านมา (Photo : AFP)

โดยการประกาศยุติข้างต้น ซึ่งก็คือการถอนตัวพ้นสังเวียนการแข่งขันภายในพรรครีพับลิกันนั้น ก็มีขึ้นภายหลังจากที่นางเฮลีย์ วัย 52 ปีผู้นี้ ได้รับชัยชนะในศึกเลือกตั้งขั้นต้นของพรรครีพับกันเพียง 2 พื้นที่เลือกตั้งเท่านั้น ได้แก่ กรุงวอชิงตัน ดี.ซี. ซึ่งเป็นเขตพื้นที่เมืองหลวงของสหรัฐฯ ในการเลือกตั้งขั้นต้นเมื่อช่วงสุดสัปดาห์ก่อนหน้า และที่รัฐเวอร์มอนต์ ในการเลือกตั้งขั้นต้นครั้งใหญ่เมื่อวันอังคารที่ผ่านมา หรือที่เรียกว่า “ซูเปอร์ทิวส์เดย์ (Super Tuesday)” โดยผลของชัยชนะเลือกตั้งขั้นเพียง 2 พื้นที่ดังกล่าว ก็ทำให้อดีตเอกอัครราชทูตสหรัฐฯ ประจำยูเอ็นรายนี้ ได้จำนวน “คณะผู้เลือกตั้ง” หรือ “ดิลิเกต (Delegate)” ไปเพียง 89 เสียงเท่านั้น ห่างไกลที่จะได้จำนวน “ดิลิเกต” ที่กำหนดไว้ว่า ต้องให้ได้ 1,215 เสียงเป็นอย่างน้อย ของจำนวนดิลิเกตทั้งหมดในฟากฝั่งพรรครีพับลิกัน คือ 2,429 เสียง จึงจะได้รับเลือกให้เป็นตัวแทนพรรคฯ ไปสู้ศึกเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ สนามใหญ่กับตัวแทนพรรคเดโมแครตต่อไป

แตกต่างจากสถานการณ์ของอดีตประธานาธิบดีทรัมป์ วัย 77 ปี ที่กวาดชัยชนะในศึกเลือกตั้งขั้นต้นไปแล้ว 24 รัฐ พร้อมกับคว้า “คณะดิลิเกต” ไปครอบครองสะสมแล้วจำนวน 1,062 เสียง ใกล้จะถึงตามกำหนด 1,215 เสียง ในอีกไม่กี่อึดใจข้างหน้า

ทั้งนี้ จากการถอนตัวของนางเฮลีย์ รวมถึงจำนวนดิลิเกตที่ได้ และที่จะได้ต่อไปในอนาคต ก็เป็นที่ค่อนข้างจะแน่แล้วว่า หากไม่เกิดอุบัติเหตุ หรือเหตุการณ์ฉุกเฉินที่ไม่คาดฝัน อดีตประธานาธิบดีทรัมป์ ก็จะได้เป็นตัวแทนพรรครีพับลิกัน ไปสู้ศึกเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ 2024 ในปลายปีนี้ กับตัวแทนพรรคเดโมแครต ซึ่งค่อนข้างจะแน่อีกเช่นกันว่า จะเป็นประธานาธิบดีไบเดน วัย 81 ปี หากไม่มีเหตุการณ์ฉุกเฉิน หรืออุบัติเหตุที่ไม่คาดฝันเกิดขึ้นกันเสียก่อน

โดยเมื่อกล่าวถึงสถานการณ์ของประธานาธิบดีไบเดน ในการชิงชัยเป็นตัวแทนพรรคเดโมแครตแล้ว ก็กวาดชัยชนะไปแล้ว 20 รัฐ พร้อมกับคว้าคณะดิลิเกตไปแล้ว 1,611 เสียง ซึ่งตามกำหนดของพรรคเดโมแครต ก็กำหนดไว้ว่าต้องได้คณะดิลิเกตจำนวนอย่างน้อย 1,968 เสียง จากจำนวนทั้งสิ้น 3,934 เสียง

ทั้งนี้ จำนวนคณะดิลิเกตที่ประธานาธิบดีไบเดนได้ครอบครองสะสมอยู่นั้น ก็ทิ้งห่างอย่างชนิดสุดกู่เหนือคู่แข่งไม่เห็นฝุ่น โดยคู่แข่งของประธานาธิบดีไบเดน ในศึกเลือกตั้งขั้นต้นของพรรคเดโมแครต ก็คือ “นายเจสัน พาลเมอร์” นักธุรกิจชาวสหรัฐฯ วัย 52 ปี ซึ่งที่ผ่านมาพ่ายแพ้ให้แก่ประธานาธิบดีไบเดนเกือบทุกรัฐ ยกเว้นที่รัฐแมริแลนด์ ในศึกเลือกตั้งขั้นต้นครั้งใหญ่เมื่อวันอังคารที่ผ่านมา หรือที่เรียกว่า “ซูเปอร์ทิวส์เดย์” ของทางพรรคเดโมแครต ที่นายพาลเมอร์ คว้าชัยไปรัฐเดียวที่รัฐแมริแลนด์ และได้คณะดิลิเกตไปเพียง 3 เสียงเท่านั้น

จากผลการเลือกตั้งขั้นต้นที่ออกมา แม้ยังไม่จบสิ้น และการประชุมใหญ่ของทั้งสองพรรคยังไม่เกิดขึ้นก็ตาม แต่ก็เป็นที่แน่ชัดแล้ว คู่สัประยุทธ์ชิงชัยในศึกเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ 2024 สนามใหญ่ ที่จะมีขึ้นในวันอังคารที่ 5 พฤศจิกายนปลายปีนี้ จะเป็นการต่อกรกันระหว่างประธานาธิบดีไบเดน ของทางฟากเดโมแครต และอดีตประธานาธิบดีทรัมป์ ของทางฝั่งรีพับลิกัน

โดยการต่อสู้ที่จะบังเกิดขึ้น ก็เสมือนหนึ่งการ “ล้างตา” ระหว่างนักการเมืองทั้งสอง หลังจากที่ทั้งคู่ได้บู๊กันอย่างดุเดือด ในการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ครั้งที่แล้ว เมื่อปี 2020 (พ.ศ. 2563)

ผลของสมรภูมิเมื่อ 4 ปีที่แล้ว ปรากฏว่า นายไบเดน คว้าชัยชนะไปด้วยคะแนนเสียงคิดเป็นร้อยละ 51.3 เหนือกว่านายทรัมป์ ที่ได้คะแนนเสียงร้อยละ 46.8 ซึ่งคะแนนเสียงที่ได้นั้น ก็คือ คะแนนนิยมของทั้งคู่ ณ เวลานั้น

ทว่า ถึง ณ ปัจจุบัน คะแนนนิยมของนักการเมืองทั้งสอง ก็หาได้เป็นเฉกเช่นเหมือนเก่า

เมื่อปรากฏว่า คะแนนนิยมของนายไบเดน ในระหว่างที่ดำรงตำแหน่งประธานาธิบดี ได้ลดน้อยถอยลงมาตามลำดับ

จากเดิมที่เคยยืนเหนือกึ่งหนึ่ง คือ กว่าร้อยละ 50 ก็ลดลงเหลือกว่าร้อยละ 40 และต่ำกว่าร้อยละ 40 ก็ยังเคยมี

ในการสำรวจความคิดเห็นชาวอเมริกัน เปรียบเทียบระหว่างประธานาธิบดีไบเดน กับอดีตประธานาธิบดีทรัมป์ ในช่วงล่าสุด ก็พบว่า ประธานาธิบดีไบเดน มีคะแนนนิยมตามหลังอดีตประธานาธิบดีทรัมป์ หลายสำนักโพลล์ด้วยกัน อาทิเช่น

“ฟ็อกซ์นิวส์โพลล์” ให้อดีตประธานาธิบดีทรัมป์ เหนือกว่าที่ร้อยละ 49 ต่อ 47

“วอลล์สตรีทเจอร์นัลโพลล์” ให้ประธานาธิบดีไบเดน ที่ร้อยละ 45 ตามหลังอดีตประธานาธิบดีทรัมป์ ที่ได้ร้อยละ 47

“สำนักข่าวซีบีเอส” ที่จับมือกันทำโพลล์ร่วมกับ “ยูกอฟ” ให้อดีตประธานาธิบดีทรัมป์ นำหน้าประธานาธิบดีไบเดนถึง 4 จุด ที่ร้อยละ 52 ต่อ 48

ส่วนการสำรวจของ “ไทมส์” ร่วมกับ “เซียนา” ให้ประธานาธิบดีไบเดน ตามหลังอดีตประธานาธิบดีทรัมป์ถึง 5 จุด ที่ร้อยละ 48 ต่อ 43

การอภิปรายโต้วาที หรือดีเบต ระหว่างนายโดนัลด์ ทรัมป์ กับนายโจ ไบเดน ในการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ เมื่อ 4 ปีที่แล้ว (Photo : AFP)

ทั้งนี้ จากผลโพลล์ที่ออกมาก็สร้างความกระดี๊กระด๊าให้แก่อดีตประธานาธิบดีทรัมป์ ถึงกับประกาศท้าอภิปรายโต้วาที หรือดีเบต กันแบบตัวต่อตัวอย่างเร็วพลันเลยทีเดียว พร้อมกับเป็นโจทย์ใหญ่ให้ทางฝั่งเดโมแครตต้องแก้ไขกันต่อไป ไม่ว่าจะเป็นเรื่องปัญหาสูงวัย ปัญหาสุขภาพของนายไบเดน และผลงานทางเศรษฐกิจที่ดูจะไม่เข้าตาชาวอเมริกันสักเท่าไหร่ตลอดช่วง 4 ปีที่ผ่านมา