วันที่ 13 มี.ค.2567 เวลา  08.30 น. ที่ สน.สุทธิสาร ทางพนักงานสอบสวน ได้เบิกตัวนายชาตรี  หรือ "นายแพทย์ ชาตรี" ผู้ต้องหาในคดีทำศัลยกรรม "น้องนิ้ง" สาวสวยช็อกคาเตียง กลายเป็นเจ้าหญิงนิทรา 5 ปีตามหมายจับศาลแขวงพระนครเหนือ เลขที่ 130/2567 ลงวันที่ 8  มีนาคม 2567  ออกจากห้องควบคุมตัวมาขึ้นรถคุมตัวผู้ต้องขังเพื่อไปขออำนาจศาลฝากขังครั้งแรก เป็นเวลา 12 วัน ที่ ศาลแขวงพระนครเหนือ ศูนย์ราขการฯ ถนนแจ้งวัฒนะ ในความผิดฐาน "กระทำโดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นได้รัยอันตรายสาหัส" พร้อมคัดค้านการประกันตัว เนื่องจากเกรงว่าจะไปยุ่งเหยิงกับพยานหลักฐาน และจะหลบหนี

โดยในวันนี้พนักงานสอบสวนได้มีการควบคุมตัวหมอศัลยกรรม ไปขออำนาจศาลแขวงพระนครเหนือฝากคลังผัดแรก โดยใช้คำร้องพนักงานสอบสวนได้พิการยิ่งคัดค้านประกันตัว ซึ่งระหว่างที่ควบคุมตัวนั้นผู้สื่อข่าวพยายามสอบถามประเด็นต่างๆกับผู้ต้องหา แต่ผู้ต้องหาไม่ยอมตอบคำถามใดๆ 

ต่อมาได้มีการโต้เถียงกันระหว่างทั้งสองฝ่าย โดยมี นายอภิภู พี่ชายของผู้เสียหาย นายนคร สะอาด ทนายความของผู้ต้องหา ซึ่งทางด้านนายนครยืนยันว่าที่ผ่านมาคุณหมอได้มีการเยียวยาชดใช้ไปเรียบร้อยแล้ว และได้เยียวยาเกินวงเงินที่ศาลสั่งไปกว่าหนึ่งเท่าตัว ส่วนทรัพย์สินนั้นอยู่ที่กรมบังคับคดี ต้องรอให้กรมบังคับคดีจ่ายให้กับผู้เสียหายเอง ส่วนทางด้านคดีความนั้นก็จะต้องต่อสู้กันต่อไป และยืนยันว่าที่ผ่านมาลูกความของตนรู้สึกเสียใจและรู้สึกผิดมาโดยตลอด 

ขณะที่ นายอภิภูก็โต้แย้งว่า เรื่องนี้ควรมีวิธีที่รับผิดชอบน้องสาวตนที่ดีกว่านี้ เพราะมีการสู้คดีมาอย่างยาวนานทางแพทยสภาก็ได้ตัดสินแล้วว่าคลินิกมีความผิด ซึ่งเรื่องการบังคับคดีหรือการยึดทรัพย์เป็นเรื่องทางกฎหมายแต่การเยียวยาที่แท้จริงยังไม่เกิดขึ้น เพราะครอบครัวผู้เสียหายต้องเสียค่าใช้จ่ายในการต่อสู้คดี ต้องไปกู้หนี้ยืมสินเพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการเดินทาง แล้วรู้สึกไม่ได้รับความเป็นธรรมที่จะต้องไปรับค่าเสียหายเองจากกรมบังคับคดี เพราะตนรู้สึกว่ามันไม่มีเหตุผลที่จะต้องไปเหนื่อยในการที่จะมาตามเรื่อง พร้อมกับฝากเป็นอุทาหรณ์ในการศัลยกรรมให้เลือกสถานที่และเช็คข้อมูลแพทย์ให้ละเอียด พร้อมกับฝากถึงหน่วยงานที่เกี่ยวข้องที่ดูแลในเรื่องการศัลยกรรม วันนี้ได้นำคำสั่งแพทยสภามายื่นตามที่แพทยสภาได้มีการวินิจฉัยแล้วว่าหมอเป็นผู้กระทำความผิดจริงและมีความผิดพลาดในการทำศัลยกรรมให้คนไข้

ทั้งนี้ กัน จอมพลัง ก็ได้เสนอว่า หลังจากนี้จะเรียกทั้งสองฝ่ายมาพูดคุย เพื่อหาข้อยุติของเรื่องนี้ โดยจะประสานกับกระทรวงสาธารณสุข ซึ่งเป็นหัวหน้าหน่วยงานของแพทยสภา ส่วนเรื่องคดีความก็ต้องต่อสู้กันไป แต่เรื่องการเยียวยานั้นยังอยากให้ฝั่งหมอและคลินิกแสดงความรับผิดชอบมากกว่านี้