เมื่อเวลา 10.00 น. วันที่ 15 พ.ย. 59 ที่ห้องพิจารณา 909 ศาลอาญา ถ.รัชดาภิเษก ศาลนัดอ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ คดีหมายเลขดำ อ.146/2557 ที่พนักงานอัยการคดีอาญา 6 เป็นโจทก์ ยื่นฟ้อง นายโกสินทร์ สีนวลขำ อายุ 21 ปี (เสียชีวิตแล้วเมื่อวันที่ 28 มิ.ย.58) และ จ.ส.อ.ศิริศักดิ์ จันทร์เหลือง หรือ จ่าเหลือง อายุ 56 ปี อดีตทหารการข่าว เป็นจำเลยที่ 1-2 ในความผิดฐานร่วมกันใช้ จ้างวานให้ฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อน , ร่วมกันพยายามฆ่าผู้อื่นโดยเจตนา , ร่วมกันมีอาวุธปืน และเครื่องกระสุนไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต และพาอาวุธปืนไปโดยไม่มีเหตุอันควร ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 289 และ 371 คดีอัยการโจทก์ ยื่นฟ้องเมื่อวันที่ 23 ม.ค.57 บรรยายพฤติการณ์สรุปว่า เมื่อวันที่ 3 - 4 ก.ย.56 เวลากลางคืน จ.ส.อ.ศิริศักดิ์ จำเลยที่ 2 กับพวกอีก 2 คน ได้ให้เงิน 100,000 บาท ว่าจ้างนายโกสินทร์ จำเลยที่ 1 และนายสุขุม หรือตั้ม แดงกุลวานิช โดยจำเลย ยิง ส.อ.ถนอม บริคุต หรือเปาหนอม อายุ 46 ปี ผู้เสียหายซึ่งเป็นกรรมการตัดสินฟุตบอล ของสมาคมฟุตบอลแห่งประเทศไทย โดยจำเลยที่ 1 ร่วมกันมีปืนพกสั้น ขนาด .38 ไม่มีทะเบียน และกระสุนปืน 4 นัดติดตัวไปที่ ถ.รามคำแหง และในการกีฬาแห่งประเทศไทย เขตบางกะปิ โดยไม่ได้รับอนุญาต ซึ่ง ส.อ.ถนอม ถูกยิงได้รับบาดเจ็บสาหัส บริเวณลานจอดรถ การกีฬาแห่งประเทศไทย เหตุเกิดที่แขวงหัวหมาก เขตบางกะปิ กทม. คดีนี้ศาลชั้นต้น มีคำพิพากษาเมื่อวันที่ 26 ส.ค. 58 ให้ยกฟ้อง เนื่องจากทางนำสืบโจทก์ยังไม่ปรากฎพยานหลักฐานเพียงพอให้ฟังได้ว่าจำเลยที่ 2 กระทำผิดตามฟ้อง ส่วนคำให้การชั้นสอบสวนเป็นลักษณะการซัดทอดระหว่างผู้กระทำความผิดด้วยกัน ซึ่งศาลต้องรับฟังด้วยความระมัดระวังและต้องมีพยานหลักฐานอื่นของโจทก์มาประกอบพยานหลักฐานของโจทก์ จึงยังมีข้อสงสัยตามสมควร ดังนั้นให้ยกประโยชน์แห่งความสงสัยให้จำเลยที่ 2 ตามประมวลวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 227 ต่อมาอัยการโจทก์ยื่นอุทธรณ์ โดยวันนี้ (15 พ.ย. 59) จ.ส.อ.ศิริศักดิ์ หรือ จ่าเหลือง อดีตทหารการข่าว ที่ถูกฟ้องเป็นจำเลยที่ 2 ก็ได้เดินทางพร้อมบุตรสาวและครอบครัวมาศาลเพื่อฟังคำพิพากษา ศาลอุทธรณ์ตรวจสำนวนประชุมปรึกษาหารือกันแล้วเห็นว่า ข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่าตามวันเวลาเกิดเหตุในฟ้องมีคนร้ายยิง ส.อ.ถนอม กระสุนเข้าที่ชายโครงด้านขวา และตัดฉีกขาด โดย ส.อ. ถนอม ได้รับบาดเจ็บสาหัสซึ่งเจ้าหน้าที่ตำรวจยึดหัวกระสุนได้ ซึ่งโจทก์มีพนักงานสอบสวนคดีนี้เบิกความว่า เรื่องดังกล่าวมีมูลเหตุจากการที่ผู้เสียหายที่ 1 เป็นกรรมการตัดสินเกมส์ ฟุตบอล เมื่อวันที่ 24 กันยายน 56 ระหว่างทีมเพื่อนตำรวจ กับ ทีม บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด ซึ่งต่อมา ทราบว่า จำเลยที่ 2 ได้ขอให้เจ้าหน้าที่ตรวจสอบทะเบียนราษฎร ของผู้เสียหายโดยอ้างการตรวจสอบการกระทำผิดเรื่องการค้าอาวุธ และยังมีข้อมูลการใช้โทรศัพท์เคลื่อนที่ ที่ติดต่อสื่อสารกันระหว่างกลุ่มจำเลยที่ 2 ช่วงระหว่างที่ผู้เสียหายทำหน้าที่เป็นกรรมการตัดสินเกมส์ฟุตบอลอื่น ซึ่งเชื่อว่า จะเป็นการติดต่อเพื่อ ชี้ตัวผู้เสียหายระหว่างเดือนกรกฎาคม 56 โดยเมื่อเจ้าหน้าที่ตำรวจได้เชิญตัวจำเลยที่ 2 มาสอบถามก็ให้การว่า ปรกติใช้โทรศัพท์ที่ลงท้ายด้วยหมายเลข 3894 แต่เมื่อตรวจสอบแล้ว กลับพบว่าหมายเลขดังกล่าวได้มีการจดทะเบียนและเปิดใช้ เมื่อวันที่ 4 กันยายน 56 จึงเชื่อว่า จำเลยที่ 2 ให้ปกปิดความจริงเกี่ยวกับหมายเลขโทรศัพท์ที่ใช้ นอกจากนี้ ยังมีคำให้การของจำเลยที่ 1 ที่แม้ชั้นแรกจะให้การปฏิเสธ แต่เมื่อได้ดูภาพวงจรปิดแล้ว ก็ให้การรับสารภาพว่าเป็นผู้ขี่รถจักรยานยนต์ให้มือปืนยิงผู้เสียหายโดยมีจำเลยที่ 2 เป็นผู้ว่าจ้าง ซึ่งแม้คำให้การของจำเลยที่ 1 จะเป็นคำซัดทอดของผู้ร่วมกระทำผิดด้วยกันซึ่งศาลจะต้องรับฟังด้วยความระมัดระวัง โดยคำให้การของจำเลยที่ 1 นั้น แม้จะซัดทอดถึงจำเลยที่ 2 แต่คำให้การนั้นก็ไม่ได้ทำให้ตัวจำเลยที่ 1 ถูกพ้นจากความผิดที่ได้กระทำลงไป ซึ่งจำเลยที่ 1 ยังได้ชี้ยืนยันภาพถ่ายจำเลยที่ 2 จากบัตรประจำตัวประชาชน และยังได้เขียนข้อความด้วยรายมือยืนยันว่าจำเลยที่ 2 เป็นผู้ว่าจ้าง นอกจากนี้ยังมีพยานอื่นที่ รับฟังประกอบคำให้การของจำเลยที่ 1 ได้ว่า ปรกติจำเลยที่ 1 ได้ขีวินรถจักรยานยนต์รับจ้างที่มีจำเลยที่ 2 เป็นผู้ดูแล โดยเรียกจำเลยที่ 2 ว่า พ่อ และยังมีคนรักของจำเลยที่ 1 เบิกความว่า ได้ให้หมายเลขบัญชีธนาคารกับจำเลยที่ 1 ไปที่จำเลยที่ 1 อ้างว่าจะให้จ่าเหลืองโอนเงินมาใช้หนี้จำนวน 2 หมื่นบาท ส่วนที่ จ.ส.อ.ศิริศักดิ์ จำเลยที่ 2 อ้างว่าไม่เกี่ยวข้องกับการกระทำผิดนั้นก็ยังฟังไม่ได้ถนัด ซึ่งเอกสารที่จำเลยที่ 1 เขียนด้วยรายมือว่าจำเลยที่ 2 เป็นผู้จ้างวานและยังระบุรายละเอียดในเรื่องที่ คนที่อยู่ในเหตุการณ์เท่านั้นที่จะรับรู้ได้ ซึ่งจำเลยที่ 1 ก็ให้ความเคารพจำเลยที่ 2 จึงไม่น่าเชื่อว่าจะให้การปรักปรำ พยานโจทก์ที่นำสืบมาจึงรับฟังได้ปราศจากสงสัยว่าจำเลยที่ 2 ร่วมกันใช้จ้างวานฆ่าผู้อื่น ซึ่งเป็นความผิดตาม ประมวลกฎหมายอาญามาตรา 289 (4) ประกอบมาตรา 80 และ 84 ที่ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องนั้น ไม่ต้องด้วยความเห็นของศาลอุทธรณ์ จึงพิพากษาให้จำคุกตลอดชีวิต ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ภายหลังฟังคำพิพากษา บุตรสาวของจำเลยที่ 2 ถึงกับร่ำไห้และโผเข้ากอดบิดา ซึ่งวันนี้สวมชุดกางเกงยีนส์สีน้ำเงินอ่อน เสื้อเชิ้ตแขนสั้นสวมแจ๊กเก็ตดำทับก่อนที่เจ้าหน้าที่ ราชทัณฑ์จะควบคุมตัว โดยระหว่างนั้น จ.ส.อ.ศิริศักดิ์ ได้กล่าวปลอบใจครอบครัวว่า ไม่เป็นไรยังยื่นฎีกาได้ ขณะนี้ทางญาติได้เตรียมหาหลักทรัพย์เพื่อยื่นคำร้องขอปล่อยชั่วคราวระหว่างสู้คดีชั้นฎีกา