ในห้วงสัปดาห์นี้ กระแสการเมืองดำเนินไปด้วยความเข้มข้นอย่างยิ่ง ไม่เฉพาะที่ฝั่ง “ก้าวไกล” ที่ยังต้องลุ้นระทึกคดียุบพรรค เมื่อคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ชงลูกเข้ามือ “ศาลรัฐธรรมนูญ” โดยใช้ “คำวินิจฉัย” จากศาลรัฐธรรมนูญ เมื่อวันที่ 31 ม.ค.2567 ที่ผ่านมาเป็น “สารตั้งต้น”

ขณะเดียวกัน ปฏิเสธไม่ได้ว่ายามนี้ บรรยากาศที่พรรคเพื่อไทย โดยเฉพาะที่อ.สันกำแพง จ.เชียงใหม่ บ้านเกิด “ทักษิณ ชินวัตร” อดีตนายกรัฐมนตรี คึกคักและคลาคล่ำไปด้วย “มิตรรัก”  ของทักษิณทั้ง พี่น้องคนเสื้อแดง ทั้งนปช.เชียงใหม่ ไปจนถึงคนเสื้อแดงในภาคเหนือ ที่นัดหมายรวมพลครั้งใหญ่ รอต้อนรับทักษิณกลับบ้านเกิดในรอบ 17ปี

และการเดินทางไกล จาก “บ้านจันทร์ส่องหล้า” ที่กทม. ไปถึงอ.สันกำแพง เชียงใหม่ รอบนี้ ทักษิณ ดูจะจงใจให้ “อีเว้นท์การเมือง” ครั้งนี้ส่งสัญญาณบางสิ่งบางอย่าง ไปยังคนที่รักและคนที่ชังในคราวเดียวกัน

การออกมาขยับ และเคลื่อนไหวระดับ “เจ้าของพรรค” มีขึ้นในจังหวะที่เจ้าตัวอยู่ในระหว่าง “พักโทษ” ตามระเบียบของกรมราชทัณฑ์ กระทรวงยุติธรรม และถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนักถึง “มาตรฐาน” ระหว่างทักษิณกับนักโทษทั่วประเทศที่แตกต่างกันสิ้นเชิง

ทว่าปัญหาข้อนี้ ย่อมไม่ใช่ธุระที่ทักษิณ จะต้องมาคลี่คลาย เพราะอย่าลืมว่า มี “รัฐมนตรี” ในสังกัดพรรคเพื่อไทย ไปจนถึง “พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง” รมว.ยุติธรรม ที่แม้จะอยู่พรรคประชาชาติ แต่หลายคนย่อมรู้ดีว่า รมว.ยุติธรรม มีความใกล้ชิดกับอดีตนายกฯทักษิณ มาก่อนหน้านี้

ดังนั้นทั้งพ.ต.อ.ทวี ตลอดจนรัฐมนตรี ของพรรคเพื่อไทย ทุกคนจึงมีหน้าที่ ชี้แจงต่อสาธารณะ ไปจนถึงการ “รับมือ” กับ “ฝ่ายค้าน” และ “สว.” ที่วางคิวขอเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจโดยไม่ลงมติ ในเวลาไล่เลี่ยกัน ก่อนปิดสมัยประชุมสภาผู้แทนราษฎร ในราวต้นเดือนเม.ย.นี้

เนื่องจาก “ภารกิจ” ในมือของอดีตนายกฯทักษิณ ที่จะต้องลุยงานทางการเมือง เพื่อกอบกู้ ฟื้นชีพ “พรรคเพื่อไทย” นั้นมีความสลักสำคัญมากกว่า หลายเท่านัก !

ทั้งภารกิจการปลุกพี่น้องคนเสื้อแดง ให้กลับมาหนุนพรรคเพื่อไทย เป็น “กองกำลัง” ในภาคสนาม เหมือนกับที่เคยผ่านมาในวันวาน แต่มีอันต้องเงียบหาย และเปลี่ยนใจเทคะแนนให้กับ พรรคการเมืองคู่แข่ง และพรรคก้าวไกล ดังนั้นแม้การเมืองในรูปแบบใหม่ ไม่จำเป็นต้องใช้กลยุทธ์การจัดม็อบ เพื่อเรียร้อง และต่อสู้ทางการเมืองอีกต่อไป แต่เมื่อการต่อสู้ในสนามเลือกตั้ง ทั้งระดับสส. ในอีก4ปีข้างหน้า และสนามอบจ. ในราวต้นปีหน้า 2568 ต่างต้องอาศัย “กระแส” เพื่อสู้กับ “กระสุน”

ด้วยเหตุนี้ คนเสื้อแดงจึงมีความสำคัญต่อพรรคเพื่อไทย และโดยเฉพาะตัว “อุ๊งอิ๊ง” แพทองธาร ชินวัตร หัวหน้าพรรคเพื่อไทย ที่จะขึ้นเป็น “ผู้นำรัฐบาล” คนต่อไป อย่างมาก

ขณะเดียวกันนอกเหนือไปจากภารกิจทวงกระแสความนิยมจากคนเสื้อแดง และกองเชียร์ฟากประชาชนแล้ว งานใหญ่ของ ทักษิณ คือการ “ตรวจการบ้าน” เช็คผลงานของบรรดารัฐมนตรี ว่ากระทรวงใด มีผลงาน และกระทรวงใด ถึงเวลา “ปรับเปลี่ยน” หมุนเวียนที่นั่งในครม.ได้แล้ว

ทั้งนี้มีรายงานว่า การปรับครม. ที่จะมีขึ้นในเร็วๆนี้ แม้จะยังไม่มีการเปลี่ยน “นายกฯ”  ยังคง เศรษฐาเอาไว้ที่ “ตำแหน่งเดิม” แต่สำหรับในรายของรัฐมนตรี พรรคเพื่อไทยแล้ว บางราย ถูกเรียกไปพบที่บ้านจันทร์ส่องหล้าบ้างแล้ว เพื่อถามไถ่เรื่องของการทำงานที่ผ่านมา ไปจนถึงการส่งสัญญาณ ว่าพร้อมจะเปลี่ยนเก้าอี้แล้วหรือไม่

รัฐมนตรีบางรายที่ให้สัมภาษณ์สื่อ ว่าขอเข้าพบทักษิณ แล้วแต่ยังไม่ได้รับอนุญาตนั้น กลับมีรายงานว่า ต่างเป็นหนึ่งในอีกหลายคนที่ถูกจัดเอาไว้ในกลุ่มที่ต้องย้ายที่นั่ง และในการตัดสินใจปรับเปลี่ยนรัฐมนตรีของพรรคเพื่อไทย นั้น มีรายงานว่าทักษิณ เองยังต้องประเมินต่อไปด้วยว่า การปรับเปลี่ยนเก้าอี้จะกระทบเฉพาะ ในส่วนของพรรคเพื่อไทย หรือจะ “กินแดน” กระทบไปถึง “พรรคร่วมรัฐบาล” บางพรรคด้วยหรือไม่

โดยเฉพาะเมื่อบางพรรค กำลังเกิดปัญหา “ภายใน” มีแรงกระเพื่อม เกิดความขัดแย้งกันเอง จนถึงขั้นปล่อยข่าว “เลื่อยขา”กันเอง สิ่งต่างๆเหล่านี้ล้วนแล้วแต่เป็นปัจจัยและเงื่อนไข ในการพิจารณา ปรับครม.โดยอำนาจ ที่เหนือนิตินัย ของทักษิณ ทั้งสิ้น !