ปากกาขนนก / สกุล บุณยทัต

“..เมื่อชีวิต .ถูกสิ่งใดสิ่งหนึ่งรุกล้ำโจมตี..เราย่อมคิดถึงเครื่องช่วยที่จะค้ำยันและโอบประคองตัวตนเพื่อที่จะป้องกัน..จิตวิญญาณอันบริสุทธิ์ที่ถูกกระทบกระทั่งไม่ว่าจะเกิดขึ้น..จากเหตุใดก็ตาม..

“เอ็นเนียแกรม” (Enneagram)..ถือเป็นสิ่งที่ช่วยให้เรา..สามารถรับมือกับความท้าทายอันอาจจะเกิดขึ้นกับชีวิต..เมื่อใดเมื่อหนึ่ง..หรือขณะที่..เราพยายามที่จะตื่นรู้ถึง “ด้านสูง” ของเรา..โดยอธิบายถึงวิธีดำเนินชีวิต./ให้เครื่องมือที่จะมีสติรับรู้..ว่าเราต่างมีชีวิตที่เดินละเมอได้อย่างไร...เราทุกคนต่างกลายเป็น “ซอมบี้”..โดยลืมไปแล้วว่า..จริงๆแล้วเราเป็นใคร..?/แล้วยึดติดกับนิสัยบางอย่างโดยไม่รู้ตัว..”

บริบทสำคัญจากหนังสือ.. “The Enneagram Guide to Waking Up” (เอ็นเนียแกรมสู่การตื่นรู้)...ผลงานเขียนและสร้างสรรค์ของ “เบียทริช เชสต์นัต” และ “อูรานิโอ ไปส์” ถอดความและแปลเป็นภาษาไทยโดยผู้ที่ศึกษาเเละเชี่ยวชาญในเรื่องนี้มายาวนาน..วาจาสิทธิ์ ลอเสรีวานิช..หนังสือเล่มนี้อธิบายถึงองค์ประกอบของภูเขาน้ำแข็งใต้น้ำที่มีน้ำหนักมากที่สุด  นั่นคือแรงขับของคนแต่ละคนแต่ละประเภท..ที่เฝ้าแสดงออกมาเป็นนิสัย แบบแผน และ พฤติกรรมต่างไป..และที่สำคัญ มันมีแนวทางในการพาตัวเองออกจากแรงขับเหล่านั้นอย่างชัดเจน..ซึ่งถือเป็นจุดมุ่งหมายและประโยชน์สูงสุดของการศึกษา..

นี่คือหนังสือ..ที่เหมาะกับทุกคน ทั้งผู้ที่เพิ่งสนใจเรื่องนี้ ไปจนถึงผู้ศึกษาเรื่องนี้มายาวนานแล้ว.. “บุคลิกภาพของแต่ละคน เป็นการผสมผสานระหว่างธรรมชาติและการเลี้ยงดูสิ่งที่ติดตัวมาแต่เกิดตลอดจนประสบการณ์ชีวิตที่เป็นเอกลักษณ์ของเราอันเป็นสิ่งที่หล่อหลอมตัวเรา..มันอาจเป็นผลกระทบจากระบบของจิตใจที่ช่วยให้เราดำเนินชีวิตในโลก...ซึ่งเราอาจต้องการความปลอดภัย ความแน่นอน การเชื่อมต่อกับผู้อื่น และความรู้สึกว่ามีตัวตนและพลังในชีวิต..นี่คือจุดประสงค์ดั้งเดิมของ..เอ็นเนียแกรม..”

ว่ากันว่า..บุคลิกภาพไม่ใช่ตัวตนจริงของคุณหรอก..ถ้าเช่นนั้นตัวตนจริงของคุณเป็นเช่นไร?..และถ้าคุณเป็นเหมือนคนส่วนใหญ่..คุณคงอ่านหนังสือเล่มนี้เพราะต้องการเข้าใจตนเองเพิ่มขึ้น..ทำไมคุณถึงเป็นแบบที่เป็นอยู่ ..ทำไมคุณจึงทำแบบต่างๆในแบบของคุณ หรือแสดงออกกับสิ่งต่างๆอย่างนั้น..และ ไม่ว่าคุณจะคิดว่าได้เรียนรู้มากขึ้นเท่าใดก็ตาม ทำไมคุณถึงยังทำผิดซ้ำๆอยู่เรื่อย..นั่นคือปัญหาที่คอยตอกย้ำว่า..อะไรคือสาเหตุของความสัมพันธ์ที่ไปกันไม่ได้..และทำไมคุณถึงมีเรื่องที่ก้าวข้ามไม่ได้..

ทุกเรื่องที่ว่ามานี้ พอมีเหตุผลข้อหนึ่ง ที่มันอธิบายว่า..ทำไมมันถึงยากที่คุณจะเข้าใจในการกระทำต่างๆของคุณ...มันเท่ากับว่า..จริงๆแล้ว..เราเป็น “ซอมบี้” ..เราไม่ได้เป็นซอมบี้จริงๆหรอก..แต่เรากำลังใช้ชีวิตไปวันๆเหมือน “หลับใหล” ไม่รู้ว่าตัวคุณจริงๆเป็นใคร..ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นภายในจิตใจคุณ..เหตุนี้มันจึงไม่ต่างจากสภาพซอมบี้เลย.. “พวกเรามักเป็นแบบนี้”..

“เอ็นเนียแกรม” คือสัญลักษณ์ที่มีความหมายซับซ้อน..ที่เกี่ยวข้องกับความรู้มากมายหลายระบบทั้ง จิตวิทยา จักรวาลวิทยา และ คณิตศาสตร์..สัญลักษณ์นี้เป็นพื้นฐานของการจัดประเภทคนอย่างชัดเจนและแม่นยำมาก..โดยการอธิษฐานบุคลิกภาพที่แตกต่างกันอย่างชัดเจนใน 9 ไทป์..ซึ่งจะทำให้เข้าใจในอีโก้หรือตัวตนของมนุษย์..รวมถึงการให้แนวทางสู่การเติบโต.. “เอ็นเนียแกรม” เป็นแนวทางด้านจิตวิทยาและจิตวิญญาณที่ให้แนวทางในการพัฒนาตนเองอย่างเฉพาะเจาะจง..มันจึงช่วยให้เรา “ตื่นรู้” ขึ้นมาโดยชี้ให้เห็นถึงนิสัยและจุดบอดต่างๆ..ที่ฉุดรั้งการเติบโตและการเปลี่ยนแปลงของเรา...

“คุณถูกกำหนดให้เกิดมาเพื่อคนคนเดียวเท่านั้น..นั่นคือคนที่คุณตัดสินใจที่จะเป็น” “เอ็นเนียแกรม” อธิษฐานบุคลิกทั้งหมด 9 ไทป์/ซึ่งมาจากศูนย์ปัญญา (ศูนย์หัว)/ศูนย์กาย/ศูนย์ใจ/อย่างละ 3ไทป์.. เราต่างคิดวิเคราะห์ผ่านศูนย์ปัญญา..เป็นหลัก ความรู้สึกนึกคิดส่วนนี้..ล้วนหล่อหลอมมาจากความคิดเป็นส่วนใหญ่..มันจึงประกอบไปด้วย จินตนาการ การวิเคราะห์ การรู้จักวางแผนในการทำความเข้าใจ สิ่งต่างๆ(แต่ก็อาจจะใช้ตรรกะเหตุผลมากไป..รวมทั้งไม่ได้สัมผัสถึงอารมณ์ความรู้สึก) เราใช้ศูนย์ใจ..เชื่อมต่อกับความรู้สึกและเข้าถึงอารมณ์ของคนอื่น มันคือความฉลาดทางอารมณ์/การเข้าอกเข้าใจผู้อื่น/การให้ความสำคัญกับความสัมพันธ์และความสนิทสนม(แต่อาจโฟกัสกับภาพลักษณ์และกลัวการถูกปฎิเสธมากเกินไป)

ชีวิตของเรามีประสบการณ์ในสิ่งต่างๆ ผ่านการสัมผัสรู้จากศูนย์กาย/ความรู้สึกนึกคิด ถูกหล่อหลอมจากความรู้สึกทางกาย/พวกเขามีความมุ่งมั่น ความรับผิดชอบ..และ ให้ความสำคัญกับความจริงและความซื่อตรง(แต่อาจชอบตัดสินคนอื่นและไม่ค่อย..ยืดหยุ่น..) ตามธรรมดาของชีวิต..เราจำเป็นต้องมองข้ามเรื่องลบและเรื่องที่ทำให้เจ็บปวด..โดยส่วนใหญ่จะโฟกัสแต่เรื่องดีๆ เพื่อจะได้ไม่ต้องเจอเรื่องที่รู้สึกแย่..เราจะตามหาเรื่องสนุกๆ โดยไม่รู้ว่ากำลังหลีกเลี่ยงในบางสิ่งหรือไม่..เราอาจมองเรื่องลบเป็นเรื่องบวกโดยอัตโนมัติหรือไม่..มีบางครั้งที่เราก็จงใจ..ที่จะไม่มองด้านลบของสถานการณ์..นี่คือจุดบอดแห่งชีวิตที่เราต้องเผชิญซึ่งเราจำเป็นต้องตระหนักรู้ให้มากขึ้นว่า..การโฟกัสแต่สิ่งดีๆ..เป็นเหมือนกลไกป้องกันไม่ให้รู้สึกเจ็บปวด..ให้เราลองคิดถึงเหตุผลต่างๆที่คุณหันเหความสนใจ จากอารมณ์ความรู้สึกเชิงลบทั้งหลาย..

“เมื่อสถานการณ์ไม่ได้เป็นไปอย่างที่คุณอยากให้เป็น จนคุณรู้สึกผิดหวังและยากจะยอมรับอย่างมาก ก็ให้รู้ตัวและตั้งสติยอมรับ” ความรู้สึกผิดหวังนี้ “..”

นอกจากนี้..เรายังจำเป็นที่จะต้องเรียนรู้ถึง “เป้าหมายหลัก” ..อันหมายถึงว่าการเรียนรู้จะกระตุ้นเราได้มากกว่าสิ่งอื่นใด..การให้ความสำคัญกับการเรียนรู้สิ่งใหม่ๆเป็นอันดับแรกหรือเทใจให้กับเรื่องนั้นไปจนหมด..ก็จะสั่งผลเสียต่อการทำงานและความสัมพันธ์ เราโฟกัสกับการรับรู้ข้อมูลให้มากขึ้น..จนไม่ได้ลงมือทำใช่หรือไม่..เราสมควรต้อง ตระหนักถึง..ความรู้สึกไม่พอใจ เมื่อถูกบีบให้ต้องทำบางสิ่งที่เรารู้วิธีการอยู่แล้ว

“ต้องยอมรับว่า..เราอาจสนใจในความคิดและความรู้ของผู้คนมากกว่าตัวคนนั้นเอง..สังเกตว่าสิ่งนี้เป็นอุปสรรคอย่างไร?บ้าง..ต่อการสร้างสัมพันธ์กับคนอื่นอย่างมีความหมาย” ที่สุด .เราจำเป็นต้องรับรู้ถึงแรงจูงใจลึกๆ..เเละเมื่อไหร่ก็ตามที่เราใช้เวลาทำอะไรบางอย่างเพื่อจะเรียนรู้ให้มากขึ้น..สำรวจว่าจริงๆแล้วเราอยากได้อะไร..แล้วจะต้องเสียอะไรบ้าง?.. ความแหลมคมในย้อนแย้งอันเป็นที่สุดของหนังสือเล่มนี้..ปรากฏขึ้นจากปรากฏการณ์ทางความคิดต่างขั้วระหว่างแรงขับของความภาคภูมิใจและคุณธรรมของความถ่อมตัว.... “ความถ่อมตัว” คือสภาวะที่เป็นตัวของตัวเองอย่างสงบ..ไม่มากหรือน้อยกว่านั้น...และเห็นถึงความสำคัญของตัวเองที่มีในตัวอยู่แล้ว....เราจำเป็นต้องมองเห็น..ความต้องการที่อยากให้คนมองในแง่บวกและอยากมีความสำคัญกับผู้อื่น

เมื่อเกิดการตระหนักรู้มากขึ้นถึงการแสดงออกต่อความภาคภูมิ..เราถึงจะเริ่มรู้จัก และยอมรับตัวเองอย่างที่เป็น..และไม่ต้องพยายามปรับสภาพตลอดจนภาพลักษณ์ใดใด .ให้เป็นอย่างที่คนอื่นอยาก.. “เมื่อถึงวันที่ฉันคิดออกว่าจะดูแลตนเองยังไง..ฉันถึงจะคิดเรื่องดูแลคนอื่น”

โดยมิติสรุป..เอ็นเนียแกรมคือกลยุทธ์การอยู่รอดที่สำคัญ ก่อรูปขึ้นเป็นนิสัยและแรงจูงใจที่คุ้นชิน/ในขณะที่เราทุกคนโตขึ้นมา ก็ได้พัฒนากลยุทธ์ต่างๆขึ้นมาโดยไม่รู้ตัว..เพื่อที่จะได้หลีกเลี่ยงความเจ็บปวดและสิ่งไม่สบายใจ..หากเมื่อเรามองไม่เห็นว่า..เรายังเป็นอะไรได้อีกบ้าง..เราก็จะไม่รู้ตัวเรื่องกลยุทธ์และนิสัยเหล่านี้จะทำให้ยากต่อการที่เราจะยอมรับและก้าวข้ามได้ ...

จงเชื่อในตนเองให้มากขึ้น เลิกสงสัยในคุณค่าของตนเอง..เลิกย้อนตำหนิในการตัดสินใจของตนเอง..แล้วจงประจักษ์ใน การรู้จักตัวเอง ชอบตัวเอง รู้สึกสุขสงบกับการเป็นอย่างที่เราเป็น..ไม่ว่าเราจะมีความสำคัญจริงๆมากน้อยแค่ไหน .?

“มีผู้ที่เดินก้มหัวผ่านประตูความถ่อมตัวเท่านั้น ที่จะก้าวสู่จิตวิญญาณในระดับสูงได้/และ..จงตระหนักว่า..ความภูมิใจทำให้เราเป็นของเทียม..ความถ่อมตัวเท่านั้น .ที่จะทำให้เราเป็นของจริง..!”