เมื่อเวลา 10.50 น.วันที่ 11 เม.ย. 2567 ที่ศูนย์บริหารจัดการจราจรและอุบัติเหตุ กรมทางหลวง นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี และรมว.คลัง กล่าวถึงการกระตุ้นเศรษฐกิจภาคอสังหาริมทรัพย์  ที่มีเสียงวิพากษ์วิจารณ์ว่าเป็นการเอื้อนายทุน มากกว่าประชาชน เนื่องจากหลายบริษัทมีการจัดโปรโมชั่นให้กับลูกค้าอยู่แล้ว ว่า ตนเรียนอย่างนี้ การเอื้อนานทุนเราต้องดูให้ครบ หลายรัฐบาลในอดีตก็มีการกระตุ้นอสังหาริมทรัพย์มาอย่างต่อเนื่อง ซึ่งมีการตรวจสอบได้  และผ่านหลายกระทรวง ทบวง กรม รวมถึงคณะกรรมการกฤษฎีกา และข้อคิดเห็นจากสภาพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ(สศช.) ขอเรียนว่าเรื่องอสังหาริมทรัพย์  

ถ้าดูในแง่ของเศรษฐกิจโดยรวม สมมติว่าถ้าคนซื้อบ้าน 1 หลังเขาจะซื้ออะไรบ้าง ซื้อพรม กระจก ประตู สุขภัณฑ์ แอร์ เฟอร์นิเจอร์และอะไรอีกหลายอย่าง ซึ่งทำให้หลายอุตสาหกรรมได้รับผลในทางที่ดี และเข้าถึงที่อยู่อาศัยได้ ก็ถือเป็นการออมอย่างหนึ่ง และไม่เรื่องการกระตุ้นให้ผู้ประกอบการเพียงอย่างเดียว แต่คนที่จะสร้างบ้านเอง ก็จะได้สิทธิ์ลดหย่อนภาษีด้วย 

เมื่อถามว่า  ประชาชนที่จะตัดสินใจซื้อจะทำได้ยาก หรือไม่ เพราะคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.)ยังคงอัตราดอกเบี้ยอยู่ นายกฯ กล่าวว่า ก็ถือว่าเป็นประเด็นหนึ่งที่กดกำลังซื้ออยู่ตนก็ไม่อยากไปต่อล้อต่อเถียง  เพราะตนคิดว่าจุดยืนของตนชัดเจนเรื่องการลดดอกเบี้ย เดี๋ยวเขาจะหาว่าตนไปกดดัน ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.)อีก เพราะท่านมีความเป็นอิสระ แต่ก็ฝากไว้แล้วกันว่าความเป็นอิสระ  ไม่ใช่ความอิสระจากความลำบากของประชาชน  ท่านต้องคำนึงถึงความลำบากของประชาชนด้วย

วันนี้ตนไม่ได้กดดันอะไรแล้ว และเมื่อผลที่ออกมา ขอให้ประชาชนเป็นคนตัดสินเอง ว่าควรจะต้องลดหรือไม่ไม่ต้องลด นักวิชาการเกือบทั้งหมดตอนนี้ ก็เห็นด้วยว่าต้องลดอัตราดอกเบี้ย ตนเชื่อว่าหากลดดอกเบี้ยผลข้างเคียงทางเศรษฐกิจ จะเป็นบวกมากกว่าลบ ไม่ทำให้ค่าเงินบาทอ่อน ทำให้การส่งออกของไทยดีขึ้น เราเพิ่งการส่งออก 60% ของจีดีพี และการท่องเที่ยวอีก 20%   1 ดอลลาร์ สามารถแลกได้ 36 , 37 ,38 บาท ทำให้มีเงินจับจ่ายใช้สอยในประเทศมากขึ้น

นายกฯ กล่าวต่อว่า  ซึ่งนักท่องเที่ยวก็ไม่ได้อยู่แต่โรงแรมใหญ่ๆหรือเอื้อแต่เจ้าสัวเพียงอย่างเดียว แต่ยังมีเรื่องของการช้อปปิ้ง มารับประทานอาหาร ทุกคนได้ประโยชน์หมด ตนชื่อว่าเป็นเศรษฐศาสตร์พื้นฐานที่ทุกคนรู้อยู่แล้ว ตนไม่รู้จะพูดอย่างไรต่อไป เพราะตนพูดมาเยอะแล้ว และพูดมาพอแล้ว ก็เป็นหน้าที่ของคนอื่นที่จะพูดบ้าง