ช่วยกันคิด ช่วยกันทำ / ทหารประชาธิปไตย

ค่ายกักกันเอาช์วิทซ์ เป็นค่ายกักกันและค่ายมรณะที่ใหญ่ที่สุดในโลก ในยุคสงครามโลกครั้งที่ 2 ซึ่งนาซี เยอรมนีจัดตั้งขึ้นที่เมือง “ออชฟีแยญซิม” ภายหลังบุกยึดโปแลนด์

ทั้งค่ายกักกันดังกล่าวมีผู้ถูกคุมขังประมาณ 1.1 ล้านคน โดยประมาณ 90% ของผู้ถูกสังหารเป็นชาวยิวจากเกือบทุกประเทศในยุโรป และในจำนวนนี้เกือบทั้งหมดเป็นชาวยิวจากสลัมที่ไม่อาจจะอพยพหลบหนีภัยสงครามไปอยู่ที่อื่น เหมือนชาวยิวร่ำรวยอย่างตระกูลร๊อธไชล์

ผู้ถูกสังหารถูกกักขังขาดอาหาร ใช้แรงงานทารุณและสุดท้ายก็จับส่งเข้าห้องรมก๊าซเป็นส่วนมาก ที่เหลือก็อดอาหารตายอีกพอควร อีกส่วนหนึ่งถูกจับไปทดลองทางการแพทย์จนเสียชีวิต

เหตุการณ์เหล่านี้เป็นบันทึกทางประวัติศาสตร์ ที่นอกจากชาวยิวรุ่นหลังต่างก็เจ็บปวดรวดร้าวในพฤติกรรมฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ของนาซีเยอรมนี และชาวโลกที่มีมนุษยธรรมทั้งหลายก็พลอยรู้สึกเศร้าสลดไปด้วยตามๆกัน

ความทรงจำเหล่านี้กลายเป็นแผลเป็นของโศกนาฏกรรมที่สืบทอดกันมาด้วยการสื่อสารที่ส่วนใหญ่ดำเนินการโดยสื่อที่ได้รับการสนับสนุนจากนายทุนชาวยิว ที่ขยายผลสืบกันมาในรูปแบบต่างๆรวมทั้งการจัดทำเป็นภาพยนตร์อย่าง “ชิลเลอร์ลิส” เป็นต้น

คำว่า Hollocaust จึงถูกบัญญัติขึ้นมาเพื่อเป็นคำเฉพาะสำหรับเหตุการณ์ที่น่าเศร้าสลดดังกล่าว ทว่ามันควรเป็นที่รำลึกถึงความเจ็บปวดรวดร้าวของชาวโลกและชาวยิว ที่จะต้องช่วยกันปกป้องไม่ให้มันเกิดอีกต่อไป

อย่างไรก็ตามเมื่อเหตุการณ์ผ่านไปเกือบศตวรรษ กลับเกิดเหตุการณ์ทำนองเดียวกันขึ้นมาอีก โดยฝีมือยิวไซออนิสต์ที่โหดร้าย เห็นแก่ตัวเอาแต่ได้ เข้ามายึดครองดินแดนของปาเลสไตน์ด้วยกลวิธีต่างๆ รวมทั้งการกล่าวอ้างพันธสัญญาของพระเจ้าตามพระคัมภีร์ไบเบิล

ทำให้ได้รับการสนับสนุนจากชาวคริสต์ ไซออนิสต์ที่เชื่อกันว่าเมื่อใดก็ตามที่ชาวยิวอพยพจากปาเลสไตน์ และต้องเร่ร่อนออกไปจากแผ่นดินคนาอัน(ปาเลสไตน์เป็นส่วนหนึ่ง) ตามการลงโทษของพระเจ้า เพราะคนเหล่านี้ฝ่าฝืนพระบัญญัติ

เมื่อชาวยิวได้กลับมายังดินแดนนี้ก็จะทำให้เกิดเหตุการณ์สำคัญ นั่นคือพระเยซูจะเสด็จลงมาอีกครั้ง และทำให้แผ่นดินร่มเย็น ภายหลังจากที่ชาวยิวชั่วร้ายได้ถูกเผาทำลายลงไป

อนึ่งควรทราบด้วยว่า การที่พระเยซูทรงถูกทหารโรมันจับตรึงกางเขนก็เพราะการยุยงของชาวยิวในเยรูซาเล็มนั่นเอง

นั่นเป็นเรื่องในอดีตที่เชื่อถือติดต่อกันมา แต่ก็เป็นคนละเรื่องกับกฎหมายระหว่างประเทศในยุคสมัยปัจจุบัน

แต่สิ่งที่เกิดขึ้นทุกวันนี้คือการกระทำของรัฐบาลอิสราเอล โดยเฉพาะภายใต้การนำของกลุ่มยิวไซออนิสต์ที่ทำการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ชาวปาเลสไตน์มาอย่างต่อเนื่องและเป็นระบบตั้งแต่ปีค.ศ.1948 เป็นต้นมา

เรื่องราวเหล่านี้มีหลักฐานและบันทึกโดยชัดเจน แต่ถูกบดบังด้วยอิทธิพลของยิวไซออนิสต์ที่มีต่อสื่อตะวันตกส่วนใหญ่ จนทำให้คนส่วนใหญ่ในโลก รวมทั้งคนไทย ที่โดยปกติก็ไม่ใคร่สนใจเรื่องไกลตัวอยู่แล้ว จึงไม่ได้รับรู้รับทราบความทุกข์ทรมานของชาวปาเลสไตน์ ที่ถูกเข่นฆ่าทรมานต่างๆนานา

เลวร้ายยิ่งกว่าสมัยนาซีเยอรมนีเข่นฆ่ายิวในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 เพราะมันเป็นการทำลายเผ่าพันธุ์อย่างเป็นระบบ ตั้งแต่การปิดกั้นการพบแพทย์ในระหว่างการตั้งครรภ์ การเข้าถึงยา วัคซีน ของเล่น การศึกษา การจับกุม คุมขังเยาวชน โดยไม่มีการดำเนินคดี การบุกยึดหรือทำลายที่อยู่อาศัย การกีดกันการเข้าถึงระบบสาธารณสุข การอนามัยต่างๆ การระบายสิ่งโสโครก จากที่อยู่อาศัยชาวอิสราเอลลงไปสู่ชุมชนปาเลสไตน์ ตลอดจนการขยายการตั้งถิ่นฐานชาวยิวอพยพ และขับไล่ชาวปาเลสไตน์ด้วยวิธีการต่างๆ สิ่งเหล่านี้ปรากฏเป็นหลักฐานอยู่ในรายงานของสหประชาชาติ ทั้งในคณะมนตรีสิทธิมนุษยชน คณะมนตรีเศรษฐกิจและสังคม ตลอดจนมติต่างๆของสหประชาชาติ

อย่างไรก็ตามเหตุการณ์เหล่านั้นกลับไม่ถูกตีแผ่ โดยสื่อตะวันตกส่วนใหญ่ แม้รัฐบาลอิสราเอลจะทำการละเมิดทั้งมติคณะมนตรีความมั่นคง หรือมติของสมัชชาใหญ่ก็ตาม

ล่าสุดคือการฝ่าฝืนมติของคณะมนตรีความมั่นคงที่ให้หยุดยิงทันที ในเหตุการณ์ความขัดแย้งหรือสงครามฮามาส-อิสราเอล ที่เริ่มมาตั้งแต่ 7 ตุลาคม ค.ศ.2023 โดยทำการปิดล้อมให้อดข้าวอดน้ำ โจมตีทั้งทางอากาศและภาคพื้นดิน จนกาซาถูกทำลายย่อยยับ ผู้คนล้มตายเกือบ 4 หมื่นคน บาดเจ็บกว่า 7 หมื่น ในจำนวนผู้เสียชีวิตเป็นเด็กเกือบ 2 หมื่นคน

และยังบิดเบือนเหตุการณ์ 7 ต.ค.ตลอดจนอ้างสิทธิในการปกป้องตนเองทั้งที่โดยกฎหมายระหว่างประเทศผู้ยึดครองไม่มีสิทธิ แต่ผู้ถูกยึดครองอย่างชาวปาเลสไตน์มีสิทธิในการต่อสู้ปกป้องแผ่นดิน

สำหรับสตรีนอกจากในเขตกาซาในส่วนของเวสแบงก์ก็ถูกล่วงระเมิดทางเพศ ข่มขืนจากกองกำลัง IDF หรือชาวยิวติดอาวุธก็มีเป็นจำนวนไม่น้อย

ชีวิตของชาวปาเลสไตน์ จึงมีความทุกข์ทรมานไม่ต่าง หรือยิ่งกว่าที่ชาวยิวในค่ายเอาช์วิทซ์ เสียอีก

แต่รัฐบาลอิสราเอลและชาวยิวไซออนิสต์ในประเทศอิสราเอลส่วนใหญ่ต่างไม่รู้สึกรู้สา และไม่เคยสำนึกย้อนหลังไปถึงเมื่อครั้งที่บรรพบุรุษของตนถูกกระทำในเอาช์วิทซ์

ที่สำคัญตามความเชื่อโบราณที่อ้างแผ่นดินพันธสัญญานั้นหมายถึงชาวยิวที่เคยอาศัยอยู่ในปาเลสไตน์ และถูกพระเจ้าเนรเทศให้ร่อนเร่พเนจรไปจากแผ่นดิน แต่ยิวพวกนั้นเขากลับมาที่คนาอันนานแล้วและก็อยู่ร่วมกันกับชาวปาเลสไตน์อย่างสันติสุข แต่ผู้ที่อพยพเข้ามาอยู่ใหม่ ไม่ใช่ชาวยิวที่เคยอยู่ในปาเลสไตน์มาก่อนเลย มันจึงเป็นเพียงคำกล่าวอ้างเพื่อสร้างความชอบธรรม

และที่สำคัญถ้าอ้างพระเจ้า อ้างพระคัมภีร์ พระเจ้าคงไม่ต้องการให้ชาวยิวไซออนิสต์ที่อพยพเข้ามายึดดินแดนเขานี้ได้ทำทารุณกรรม ผิดมนุษย์มนา ไร้มนุษยธรรม แล้วยังสร้างเรื่องเท็จเพื่อปิดบังความผิดของตน

ที่น่าอนาถกว่านั้น นอกจากสหรัฐฯที่สนับสนุนยิวไซออนิสต์ให้ก่อบาปกรรม ลำเค็ญกับชาวปาเลสไตน์ เพราะชาวไซออนิสต์มีอิทธิพลครอบงำการเมืองสหรัฐฯ

แต่เยอรมนีลูกหลานนาซีที่ได้ก่อกรรมทำเข็ญกับชาวยิวมาก่อน แทนที่จะสำนึกในบาปบุญคุณโทษที่บรรพบุรุษทำไว้กลับมาให้การสนับสนุนรัฐบาลอิสราเอล ด้วยการจัดส่งอาวุธมาให้อิสราเอลใช้เข่นฆ่า ชาวปาเลสไตน์ในกาซาที่มีสภาพยิ่งกว่าค่ายกักกันเสียอีก

และในขณะนี้นิการากัว ได้ทำการยื่นฟ้องต่อศาลโลก ICJ เพื่อให้ดำเนินคดีในฐานะผู้สมรู้ร่วมคิดกับอาชญากรสงครามด้วยการร่วมมือให้การสนับสนุนโดยการส่งอาวุธจำนวนมากให้อิสราเอลใช้เข่นฆ่าชาวปาเลสไตน์ในกาซา

ทำเวรทำกรรมตั้งแต่รุ่นปู่รุ่นพ่อยังไม่พอยังมาก่อเวรก่อกรรมในรุ่นปัจจุบันอีก นับว่าอุบาทว์หรือไม่ก็ลองพิจารณาดูครับ ผมไม่บังอาจไปกล่าวหา

แค่ถูกฟ้องเยอรมนีก็กลายเป็นจำเลยด้านมนุษยธรรมแล้ว ถ้าถูกตัดสินตามหลักการไม่มีการเมืองกดดัน จะมีอีกหลายประเทศโดนด้วย