เมื่อเวลา 13.30 น. วันที่ 11 เม.ย. ที่กองบัญชาการตำรวจสืบสวนสอบสวนทางเทคโนโลยี (บช.สอท.) พล.ต.ท.วรวัฒน์ วัฒน์นครบัญชา ผบช.สอท., พล.ต.ต.นิเวศน์ อาภาวศิน รอง ผบช.สอท., พล.ต.ต.นิพล บุญเกิด ผบก.สอท.2 พร้อมเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง ร่วมแถลงข่าวทลายแก๊งคอลเซ็นเตอร์โทรหลอกข้ามซีกโลก ขู่เอี่ยวฟอกเงิน เหยื่อโอน 115 ครั้ง สูญเงินเกือบ 200 ล้านบาท

สืบเนื่องจาก ได้มีคนร้ายพูดภาษาอังกฤษโทรเข้าหาผู้เสียหายเป็นหญิงอายุ 69 ปี ขณะพักอาศัยอยู่ที่ เมืองลอสอัลทอส รัฐแคลิฟอเนีย สหรัฐอเมริกา โดยผู้ร้ายอ้างว่าติดต่อจากบริษัท ทีโมเบิล เซอร์วิส (บริษัทผู้ให้บริการสัญญาณโทรศัพท์ในสหรัฐอเมริกา) แจ้งว่าผู้เสียหายได้ใช้หมายเลขโทรศัพท์ก่อกวนบุคคลอื่น เมื่อผู้เสียหายหลงเชื่อคนร้ายจึงโอนสายต่อไปยังเจ้าหน้าที่อีกฝ่ายเพื่อให้ผู้เสียหายยืนยันว่าไม่ได้เป็นเจ้าของหมายเลขดังกล่าว และจะทำการตรวจสอบข้อมูลเพื่อยกเลิกหมายเลขดังกล่าวให้ ต่อมามีการโอนสายไปยังคนร้ายที่พูดภาษาไทยแจ้งให้ผู้เสียหายติดต่อผ่านบัญชีไลน์ชื่อ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ จากนั้นคนร้ายอ้างว่าผู้เสียหายมีส่วนเกี่ยวข้องกับคดีฟอกเงิน จำเป็นต้องถูกยึดทรัพย์ แต่มีวิธีช่วยเหลือคือผู้เสียหายต้องพิสูจน์เส้นทางการเงิน โดยคนร้ายให้ผู้เสียหายแจ้งรายละเอียดข้อมูลบัญชีเงินฝาก และโอนเงินในบัญชีธนาคารไปบัญชีธนาคารที่คนร้ายแจ้ง เพื่อตรวจสอบ โดยผู้เสียหายได้โอนเงินไปยังบัญชีดังกล่าวช่วงที่อาศัยอยู่สหรัฐอเมริกาจำนวน 60 ครั้ง รวมเป็นเงิน 92,647,416.26 บาท ต่อมาผู้เสียหายได้เดินทางกลับมายังประเทศไทยและโอนเงินขณะพักอาศัยที่ จ. นนทบุรี อีก 55 ครั้ง รวมเป็นเงิน 106,211,998.06 บาท รวมยอดความเสียหายทั้งสิ้นประมาณ 200 ล้านบาท กระทั่งสุดท้ายรู้ตัวว่าถูกหลอกจึงได้เข้าแจ้งความดำเนินคดีที่ บก.สอท.2

ทั้งนี้เจ้าหน้าที่ได้ทำการตรวจสอบบัญชีธนาคารที่เกี่ยวข้องรวมทั้งเส้นทางการเงิน พบว่ามีเส้นทางการเงินบัญชีในประเทศไทย 46 บัญชี และบัญชีในต่างประเทศอีก 5 บัญชี จึงได้วางแผนจับกุมผู้ที่เกี่ยวข้อง พร้อมขออำนาจศาลออกหมายจับผู้ต้องหาได้จำนวน 75 ราย โดยจับกุมนายศราวุฒิ โต๊ะเงิน อายุ 30 ปี กับพวกรวม 34 คน ในความผิดฐาน “ ร่วมกันฉ้อโกงประชาชน, ร่วมกันฉ้อโกงโดยแสดงตนเป็นคนอื่น, ร่วมกันนำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ปลอมไม่ว่าทั้งหมดหรือบางส่วน หรือข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จ โดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ประชาชน, เปิดหรือยินยอมให้บุคคลอื่นใช้บัญชีเงินฝาก บัตรอิเล็กทรอนิกส์ หรือบัญชีเงินอิเล็กทรอนิกส์ของตน โดยมิได้มีเจตนาใช้เพื่อตนหรือเพื่อกิจการที่ตนเกี่ยวข้อง โดยประการที่รู้หรือควรรู้ว่าจะนำไปใช้ในการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเทคโนโลยีหรือความผิดทางอาญาอื่นใด” ในส่วนที่เหลือยังหลบหนีอยู่ระหว่างการติดตามตัวมาดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป