‘พิธา-สส.กทม.ก้าวไกล’ สำรวจสภาพหมอชิต2-ร่วมส่งประชาชนกลับบ้าน ยัน ไม่ใช่การวัดพลังกับ ’เศรษฐา‘ ชวนรัฐบาลหันกลับมามองคมนาคมทั้งระบบ ไม่ใช่แค่เน้นสร้างโครงการใหญ่ 

เมื่อเวลา 16.30น. วันที่ 11 เม.ย. 2567 ที่สถานีขนส่งหมอชิต 2 นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ สส.บัญชีรายชื่อ และ ประธานที่ปรึกษาหัวหน้าพรรคก้าวไกล พร้อมด้วย สส.กทม.ของพรรคก้าวไกล ได้แก่ นายศุภณัฐ มีนชัยนันท์, นายชยพล สท้อนดี และ น.ส.ภัสริน รามวงศ์ ร่วมสำรวจสภาพการเดินทางของประชาชนที่เดินทางกลับภูมิลำเนาในช่วงเทศกาลสงกรานต์ พร้อมพบปะอวยพรประชาชนเนื่องในโอกาสเทศกาลสงกรานต์

นายพิธา กล่าวว่า ถ้าดูตัวเลขของ บขส. อย่างเดียว ย้อนหลัง 5 ปีมีผู้ใช้บริการประมาณ 6 ล้านคน ล่าสุดปี 2566 เหลืออยู่ 2.6 ล้านคนหรือหายไปประมาณสามเท่า สอดคล้องรายได้ของ บขส. ที่หายไป 2-3 เท่าเช่นกัน รัฐบาลควรกำหนดวาระการคมนาคมโดยดูภาพใหญ่มากกว่าการเน้นสร้างอย่างเดียว ที่ผ่านมาเห็นว่านายกรัฐมนตรีไปที่ไหนก็บอกอยากสร้างสนามบินเพิ่ม แต่สำหรับตนแล้วสิ่งที่อยากให้เน้นคือการซ่อมและบริหารสิ่งเดิมที่มีอยู่ให้ดีขึ้น เช่น การปรับปรุงให้การคมนาคมจากกรุงเทพมหานครกลับภูมิลำเนาเป็นไปอย่างสะดวกมากขึ้น โดยเฉพาะในเรื่องของรถบัสที่ควรจะเป็นรูปแบบการขนส่งที่ประชาชนเข้าถึงได้มากที่สุด

เพราะวันนี้แม้การเดินทางจาก กทม.จะพอสะดวกบ้าง แต่เมื่อไปถึงที่หมายกลับไม่มีอะไรรองรับต่อ ขาดแคลนระบบขนส่งมวลชนในแต่ละจังหวัด ถ้าอำนวยความสะดวกให้ประชาชนให้มากขึ้น การขนส่งสาธารณะและการคมนาคมภาพใหญ่ของประเทศไทยก็จะดีขึ้นด้วย

นายพิธา ยังกล่าวต่อว่า ตนอยากชวนรัฐบาลคิดว่าการสร้างสนามบินเพิ่ม อาจเป็นการใช้งบประมาณจำนวนมากและยังมีโอกาสออกนอกลู่นอกทาง แต่การดูแลโครงสร้างพื้นฐานเดิมที่มีอยู่แล้ว เน้นซ่อมและบริหารให้ดีขึ้น มีรถที่ดีขึ้น บริหารพื้นที่ให้ผู้ใช้บริการรู้สึกสะดวกขึ้น ออกแบบให้รองรับถึงผู้พิการ ดีกว่าที่จะเน้นแต่การสร้างโครงการขนาดใหญ่เพียงอย่างเดียว

เมื่อถามว่าปัจจุบันสายการบินราคาประหยัดหลายสายราคาถูกกว่ารถบัสมาก จะทำให้ประชาชนมาใช้บริการมากขึ้นได้อย่างไร นายพิธากล่าวว่า มันคือไก่กับไข่ ถ้าตั้งไข่ให้ได้ก่อน ให้บริการรถบัสมีความสะดวกสบาย สะอาด เมื่อประชาชนใช้มากขึ้น มีสเกลขึ้นมาก็จะทำให้ต้นทุนต่อหัวลดลง ราคาก็สามารถปรับตามได้ รถบัสก็จะกลายเป็นทางเลือกให้ประชาชนใช้ได้ตามความสะดวก บางประเทศเช่นญี่ปุ่นมีทั้งสายการบินราคาประหยัด รถไฟฟ้า รถบัส ในราคาที่ไม่ต่างกันมาก แต่เป็นทางเลือกให้ประชาชน ไม่จำเป็นต้องทำให้ประชาชนมีแต่สายการบินราคาประหยัดเป็นทางเลือกเดียวที่มีอยู่เท่านั้น

เมื่อถามถึงกรณีนายกรัฐมนตรี มีแนวคิดให้ บขส. หารายได้จากป้ายโฆษณาและรายได้อื่นๆ มากขึ้น ซึ่งพิธาระบุว่าเรื่องนี้ขึ้นอยู่กับการเรียงลำดับความสำคัญ ธุรกิจหลักที่นี่คือขนส่งไม่ใช่โฆษณา ถ้าทำขนส่งได้ดีแล้วจะมีรายได้จากการโฆษณาเข้ามาก็เป็นเรื่องดี ถ้าช่วยให้การบริหารจัดการดีขึ้น มีงบประมาณเพียงพอ ก็จะทำให้ธุรกิจหลักที่นี่ตั้งหลักได้ จากนั้นรายได้เสริมจากการโฆษณาก็จะเดินควบคู่ไปได้ 

“ทั้งหมดขึ้นอยู่กับการเรียงลำดับความสำคัญ ถ้าเขวไปว่าธุรกิจหลักคือการโฆษณาแต่ไม่ได้ดูแลธุรกิจหลักจริงๆ ไปดูแลแต่ธุรกิจเสริม การบริหารจัดการจะผิดทิศทาง ถ้าคนหายจาก 6 ล้านเหลือ 2.6 ล้าน ธุรกิจโฆษณาก็คงจะไปได้ไม่มากเท่าไหร่” นายพิธากล่าว

นายพิธายังกล่าวว่าหากตั้งเป้าให้จำนวนผู้ใช้บริการกลับมาได้เท่าก่อนโควิด บวกกับ 20-30% ของนักท่องเที่ยวที่กลับมา ถ้าทำสำเร็จก็จะพลิกโฉมสถานีขนส่งได้พอสมควร ถ้าตั้งไข่ได้แล้วที่เหลือก็จะตามมาเองทั้งเรื่องของรายได้และงบประมาณ แต่ถ้าตอนนี้ยังตั้งไข่ไม่เจอก็วนไปวนมาเหมือนเดิม รายได้น้อย ขาดทุน ลดราคาตั๋วไม่ได้ ดึงคนมาใช้บริการไม่ได้ ทั้งที่รถบัสเป็นบริการขนส่งสาธารณะที่ทุกคนควรเข้าถึงได้ขั้นต่ำที่สุด

เมื่อผู้สื่อข่าวถามถึงกรณีที่นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการคลัง ให้ 8 คะแนนนั้น ในส่วนของนายพิธาให้คะแนนเท่าไร นายพิธา ระบุว่า คนที่ควรไปถามที่สุดคือประชาชน ซึ่งเป็นผู้ใช้บริการ  ส่วนตัวมองว่า เป็นการให้คะแนนแบบ ’คนให้ไม่ได้ ใช้คนใช้ไม่ได้ให้’ คิดว่าไม่น่ามีประโยชน์อะไร ทั้งนี้ไว้วางใจความเห็นของ สส.ในพื้นที่ รวมถึง สส.ในกรรมาธิการที่เกี่ยวข้องกับการขนส่งว่า น่าจะให้คะแนนได้ดีกว่าตน

เมื่อถามถึงกรณีมีการตั้งข้อสังเกตในการลงพื้นที่ จ.เชียงใหม่พร้อมกับนายกรัฐมนตรี จะเป็นการวัดพลังกันหรือไม่ นายพิธา กล่าวว่า ขอให้ไปดูหลักฐานว่า ได้มีการแจ้งเรื่องการลงพื้นที่ไปตั้งแต่เมื่อไหร่ ตอนนั้นนายกรัฐมนตรีน่าจะอยู่ที่สนามบิน นายศุภณัฐเองก็เป็น สส.เจ้าของพื้นที่ที่ได้ชวนตนมาลงพื้นที่ก่อนหน้านี้ ประกอบกับช่วงนี้เป็นเวลาที่ประชาชนเดินทางกลับต่างจังหวัด ก็สมเหตุสมผลที่จะลงพื้นที่ในวันนี้ ดังน้้น ข้อสังเกตว่าจะเป็นการวัดพลังกัน ก็เป็นเรื่องเลื่อนลอย ไม่ใช่ข้อเท็จจริงแต่อย่างใด ย้ำว่า ต่างฝ่ายต่างก็ทำหน้าที่ของตัวเอง ไม่จำเป็นว่าทุกอย่างจะต้องเป็นการเมืองไปหมด แต่เป็นเรื่องของประชาชนด้วย

ด้านนายศุภณัฐ กล่าวว่า ตั้งแต่ที่ตนเปิดเผยเรื่องราวเกี่ยวกับสถานีขนส่งหมอชิต 2 มา ยอมรับว่าปัจจุบันมีการพัฒนาขึ้นมาก แต่ก็ทำให้เกิดคำถามขึ้นมา ว่าทำไมต้องให้ประชาชนเรียกร้องก่อน หรือเป็นข่าวก่อนถึงจะมีการดำเนินการตามมา ทั้งที่รัฐบาลควรมีวาระในประเด็นนี้อยู่แล้ว และปัจจุบันก็ยังมีสถานีขนส่งอีกหลายจุดที่ยังไม่ได้พัฒนาเหมือนกัน

เมื่อถามว่าให้คะแนนเท่าไร นายศุภณัฐ กล่าวว่าตนให้ประมาณ 7 เพราะเห็นว่ายังมีช่องว่างที่ยังปรับปรุงได้อีกมาก อยากให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องถามผู้ใช้งานบ่อยๆ แล้วจะรู้ว่าดีขึ้นอย่างไร จะปรับปรุงอย่างไรให้ดีขึ้นได้ แม้ล่าสุด บขส. จะได้งบประมาณมาแล้วส่วนหนึ่ง แต่ก็ได้มาไม่ถึง 10 ล้านบาท ทำให้แม้จะมีการพัฒนาขึ้น แต่ก็น่าตั้งคำถามว่าสิ่งที่ได้ปรับปรุงไป มากพอและคุ้มค่ากับที่ลงทุนไปหรือไม่

เพราะวันนี้สภาพของสถานีขนส่งหมอชิต 2 แม้จะมีการปรับปรุงแล้ว แต่ก็ยังมีหลายเรื่องที่ต้องปรับปรุงอีก เช่น บันไดเลื่อนที่ยังไม่ได้ทำ ชานชาลาที่ยังไม่ได้ปรับปรุง ชานชาลา ขสมก. ที่ย้ายไปแล้วก็จริงแต่จุดรอรถยังไม่มีกระทั่งพัดลม ทุกอย่างคือประสบการณ์ผู้ใช้ ผู้เกี่ยวข้องควรมาสัมผัสด้วยตนเองว่าประชาชนลำบากอย่างไรบ้าง ตั้งแต่เดินเข้ามาจนกลับออกไป