ปากกาขนนก / สกุล บุณยทัต

 

“ธรรมชาติแห่งฤดูกาลล้วนมีบทบาทแห่งสัญญะของตัวเองเสมอ..มันเป็นไปตามโครงสร้างของทฤษฎีชีวิตอันยอกย้อน..ความหมายแห่งฤดูใบไม้ผลิ...โยงใยไปถึงปฏิกิริยาแห่งการสร้างสรรค์อาชีพการงานของมนุษย์แต่ละเผ่าพันธุ์มากมายนับแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน ...หลายๆขณะที่มันสามารถเป็นความงามที่ยิ่งใหญ่ให้แก่โลก..แต่ก็มีอีกหลายขณะ  ที่มันกลับกลายเป็นหายนะอันเสื่อมทรามต่อเนื้อในของความเป็นจักรวาลเสียด้วยซ้ำ..

ดังนั้น..มันจึงบังเกิดสาระเนื้อหาขึ้นในประพันธกรรมที่ทรงอิทธิพลของโลกในเชิงเปิดโปงและวิพากษ์ ภาวะแห่ง..ความเป็นหายนะนี้ในแง่มุมลักษณะต่างๆมากมาย..”

นี่คือบทเริ่มต้นอันน่าสะพรึงที่เป็นใจความหลักของหนังสือที่ทรงอิทธิพลและพลังอย่างยิ่งต่อการรับรู้ในรู้สึกต่อบาดแผลที่โลกของเราต้องโดนย่ำยีและถูกกระทำ

“ฤดูใบไม้ผลิอันเงียบงัน” (Silent Spring)..งานเขียนของ “ราเชล คาร์สัน” (Rachel Carson )..นักอนุรักษ์ธรรมชาติและนักชีววิทยาทางทะเล..ชาวอเมริกัน..ผู้มุ่งมั่นทุ่มเทชีวิตในการเขียนหนังสือเล่มนี้  เพื่อชี้ให้เห็นถึงผลกระทบขั้นวิกฤติ..ในการที่มนุษย์ต่างใช้สารเคมีกันอย่างระห่ำและบ้าคลั่ง..ในการใช้กำจัดศัตรูพืชต่อสิ่งแวดล้อม..ที่ปรากฏอยู่ทั่วโลกในจำนวนที่มากมายอย่างน่าเหลือเชื่อ..จนเป็นอันตรายต่อชีวิตถึงขั้นเป็น “โศกนาฏกรรม”

“ราเชล” ได้เขียนเปิดโปงว่า..การใช้สารเคมีที่ดำเนินอยู่ทั่วไปในโลก ณ ขณะนี้มันมากล้นเกินไป..โดยไม่คำนึงถึงภยันตรายใดๆ...สำนึกในการเขียนของเธอ..สร้างความเข้าใจและความสำนึกรู้ให้กับบุคคลโดยทั่วไป..โดยเฉพาะในปัญหาที่เกี่ยวเนื่องกับสิ่งแวดล้อม..ที่เกิดจากการใช้สารเคมีปราบศัตรูพืชอย่างเข้มข้น..ที่เกิดขึ้นใน"สหรัฐอเมริกา"เมื่อช่วงปี 1940-1961 /ยี่สิบกว่าปี..ว่ากันว่า..นั่นคือเป็นทั้งภัยเงียบและภัยที่ชัดเจน..ประหนึ่งเป็น “ปรากฏการณ์สยองขวัญ” อย่างยิ่งที่เกิดจากสารเคมีนานาชนิดนับไม่ถ้วน..สารเคมีเหล่านี้มาจากอุตสาหกรรมการเกษตรและเคมีภัณฑ์ที่อุบัติสร้างขึ้น ณ เวลานั้น.

แม้ว่า..หนังสือนี้ของ “ราเชล” จะเอาชนะ..โดยสามารถหยุดยั้ง การใช้สารเคมีตัวฉกาจอย่าง ดีดีที(DDT)และสารอันตรายอื่นๆได้สำเร็จ..แต่ก็ปรากฏว่ามีสารเคมีตัวอื่นไปผุดขึ้นมาอีกนับไม่ถ้วนจากวันนั้น..มาถึงปัจจุบัน..หนังสือเล่มนี้ได้รับการยกย่องว่า..เป็นหนังสือที่ทรงอิทธิพลมากที่สุดเล่มหนึ่งแห่งศตวรรษที่ 21..ด้วยสำนึกแห่งความรู้สึกที่แรงกล้าและภาษาที่สละสลวย..เป็นหนึ่งในหนังสือไม่กี่เล่มที่เปลี่ยนแปลงโฉมหน้าทางประวัติศาสตร์อย่างอแท้จริง ..

“ฤดูใบไม้ผลิอันเงียบงัน”..มีหลักฐานปรากฏอยู่เต็มตาและตำตาในทุกหนทุกแห่ง...ตั้งแต่มลพิษที่แพร่กระจายไปในอากาศของเรา การตัดไม้ทำลายป่าที่ก่อหายนะต่อผืนดินและชีวิตความเป็นอยู่ เหตุการณ์น้ำมันรั่วไหลอย่างร้ายแรง ภัยจากขยะพลาสติกที่สร้างความสกปรกในมหาสมุทรของเรา ไปจนถึงการสร้างความล้มเหลวในระบบเศรษฐกิจที่ยั่งยืนอย่างแท้จริงโดยยึดสิ่งแวดล้อมเป็นหัวใจสำคัญ..”

ดังนั้นการที่เชื่อมั่นว่า หนังสือนี้..เหมาะสมกับสภาวะปัจจุบัน “แม้จะเป็นเรื่องที่ดี..แต่ก็เป็นเรื่องที่น่าอายด้วยเช่นกัน” ลีลาแห่งประพันธกรรมของหนังสือเล่มนี้ถูกสร้างสรรค์ไว้อย่างงดงาม..มันเปิดเรื่องขึ้นดั่ง “เทพนิยาย”..ด้วยการพรรณนาถึงทิวทัศน์ ณ ชนบทที่ทุกชีวิตล้วนอิงอาศัยกับสภาวะแวดล้อมอย่างกลมกลืน..แต่โลกในอุดมคตินั้นได้กลับกลายเป็นโลกที่น่าสะพรึงกลัวอย่างรวดเร็ว เมื่อหายนะที่แปลกประหลาด ได้ย่างเข้ามาเหยียบย่ำเรือกสวนไร่นาที่อยู่โดยรอบ..ทำให้สรรพสำเนียงของชีวิตที่เคยดำรงอยู่อย่างอุดมสมบูรณ์เงียบเสียงลง...นอกจากนั้น “ราเชล” ยังเผยให้เห็นถึงความเป็นจริงอันน่าตื่นตระหนกว่า ..การใช้วิธีการแบบอุตสาหกรรม..เช่นการพ่นสารเคมีทางอากาศอย่างมโหฬาร เพื่อควบคุมแมลงที่เป็นพาหะนำโรคหรือเป็นศัตรูพืช..ทำให้โลกธรรมชาติทั้งหมดอยู่ในอันตรายได้อย่างไร..

“ราเชล” ได้ตอกย้ำว่า.. “สารเคมีกำจัดศัตรูพืช ทำลายทุกอย่างไม่เลือกหน้า มันไม่แยกแยะว่าสิ่งใดมีคุณหรือโทษ..การใช้สารเคมีกำจัดศัตรูพืชจึงกลายเป็นเรื่องธรรมดาสามัญในชีวิตประจำวันอย่างน่าตกใจ ในสายตาของฉัน..มันเป็นปัญหาพื้นฐานของการเคารพในสิทธิมนุษยชน...นั่นคือสิทธิของปัจเจกบุคคล ที่จะได้รับความปลอดภัยจากสารพิษร้ายแรง”

ประเด็นสำคัญอีกประเด็นหนึ่งที่ “ราเชล” ให้ความสนใจอย่างยิ่ง..ก็คือ..อันตรายของการปล่อยให้ระบบตลาด เข้ามาครอบงำการบริหารจัดการสิ่งแวดล้อม..อย่างการที่เจ้าหน้าที่รัฐและบริษัทเอกชนเลือกใช้สารเคมีราคาถูกที่สุดในการจัดการกับปัญหา โดยไม่คำนึงถึงว่า..สารเคมีนั้นจะมีคุณสมบัติที่เหมาะสมหรือไม่..สิ่งเหล่านี้เป็นเรื่องยากที่หลายคนจะทำใจยอมรับได้ในเวลานั้นเป็นที่เชื่อกันโดยทั่วไปว่า..การแพร่กระจายไปอย่างรวดเร็วของสารเคมีกำจัดศัตรูพืช เป็นสิ่งที่มีประโยชน์ของโลกสมัยใหม่..ประชาชนจึงยังจำได้ว่ามีการใช้ดีดีที กำจัด “เหา” ที่ระบาดในหมู่ทหารระหว่างสงครามโลกครั้งที่2/ จึงเชื่อว่ามันไม่เป็นอันตรายต่อมนุษย์หากใช้อย่างระมัดระวัง..แม้แต่ผู้ค้นพบดีดีที ก็ยังได้รับรางวัลโนเบล...เหตุนี้ การที่"ราเชล"ตัดสินใจ พุ่งเป้าสนใจในความไม่ชอบมาพากลของเรื่องนี้..จึงเป็นเรื่องที่ทั้งทายท้าและกล้าหาญต่อการโต้แย้งเพื่อแสวงหาความจริงที่แท้จริง..

อย่างไรก็ดี..แม้จะถูกกล่าวหา ว่าต่อต้านสารเคมีอย่างหัวชนฝา..แต่จริงไปแล้ว..เธอก็ไม่ได้เชื่อว่า..จะต้องไม่ใช้สารเคมีกำจัดแมลงโดยเด็ดขาด..หากแต่เห็นว่า เราได้ฝากสารเคมีที่เป็นพิษและมีฤทธิ์รุนแรงต่อชีวิต โดยปราศจากการไตร่ตรองไว้กับคนที่แทบไม่ได้ตระหนัก..หรือไม่รู้ถึงอันตรายที่แท้จริงของมันเลย..แม้แต่น้อย..”

แน่นอนว่า..หนังสือเล่มนี้ได้ถูกต่อต้านอย่างหนัก..บริษัทเคมียักษ์ใหญ่ต่างพากันออกมาตอบโต้..อย่างดุเดือดและเคียดแค้น “ราเชล” ถึงขนาดถูกฟ้องร้อง ...รวมทั้งถูกเหยียดเย้ยถากถางอย่างหนัก..เธอต้องเผชิญหน้ากับการโจมตีที่รุนแรง..ถูกเหยียดเพศ ถูกหมิ่นแคลนว่าเป็นสาวทึนทึก  และถูกด่าว่าควบคุมอารมณ์ตัวเองไม่ได้

แต่ถึงกระนั้น..สภาวะที่ยอดเยี่ยมของความเป็นมนุษย์และความสมบูรณ์แม่นตรงทางด้านการศึกษาค้นคว้าของเธอ ซึ่งได้รับการตรวจสอบโดยผู้เชี่ยวชาญคนอื่นๆหลายๆคนได้ออกมากล่าวปกป้องเธอ..จนที่สุด..ในเดือนพฤษภาคม 1963/..คณะกรรมการปรึกษาด้านวิทยาศาสตร์ของประธานาธิบดี “จอห์น เอฟ. เคนเนดี”..ก็ได้จัดทำรายงานเรื่อง การใช้สารกำจัดศัตรูพืช"ซึ่งถือเป็นการยืนยันถึงความถูกต้องของข้อค้นพบของ “ราเชล”

ครั้นเมื่อสาธารณชนมีการตื่นตัวกันมากขึ้น..เกี่ยวกับรังสีนิวเคลียร์และอันตรายจากสารเคมี..พวกเขาก็เรียกร้องให้ต้องดำเนินการในเรื่องนี้... “ฉันรู้สึกว่าเป็นหน้าที่ของฉันที่ต้องทำอะไรบางอย่าง..ถ้าไม่อย่างนั้นฉันก็จะไม่มีความสุขได้อีก..”

กล่าวโดยสรุป...คงไม่เป็นการเกินเลยที่เอ่ยว่า.."ปัจจัยสำคัญที่ทำให้เกิดขบวนการอนุรักษ์นิยมสิ่งแวดล้อมใหม่..ไม่ใช่เกิดขึ้นในอเมริกาเท่านั้น แต่มันได้เกิดขึ้นในสหราชอาณาจักรด้วย..ซึ่งในสหราชอาณาจักรนี้พรรคพลังประชาชน(People Party)..ก็ได้รับอิทธิพลดังกล่าว ก่อนที่จะเปลี่ยนมาเป็นพรรคเพื่อสิ่งแวดล้อม(Ecology  Party)ในทศวรรษ1970 แล้วจึงกลายเป็นพรรคกรีน(Green Party)ในที่สุด

“ฤดูใบไม้ผลิอันเงียบงัน” (Silent Spring )..ถูกตีพิมพ์เป็นตอนๆในนิตยสาร “The New Yorker” เมื่อเดือนมิถุนายน1962 ก่อนจะได้รับการตีพิมพ์รวมเล่มในสหรัฐอเมริกาในปีเดียวกัน (62 ปีล่วงมาแล้ว..)และตีพิมพ์ในสหราชอาณาจักรในปีถัดมา..กระทั่งกลายเป็นหนังสือขายดีในทันทีและเปลี่ยนแปลงการรับรู้ของสาธารณชนต่อปัญหาสิ่งแวดล้อมอย่างลึกซึ้ง.. “ทิม แรมฟอร์ด” แห่งหนังสือพิมพ์ “เดอะการ์เดียน”..ได้กล่าวยกย่องว่า “.. “ราเชล คาร์สัน” ..ให้ความรู้แก่โลก..และถ้าให้เลือกว่าหนังสือที่เขียนโดยคนๆเดียวเล่มใดที่เป็นเสาหลักของขบวนการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม คนส่วนใหญ่ย่อมเลือก “ฤดูใบไม้ผลิอันเงียบงัน” อย่างไม่ต้องสงสัย..ผลกระทบของหนังสือปรากฏขึ้นในทันที..ส่งผลออกไปกว้างไกล..และเสริมสร้าง..คุณค่าชีวิต .ถือเป็นหนังสือที่บรรลุผลเล่มหนึ่งเท่าที่เคยมีมา..”

โดยส่วนตัว..ผมถือว่าหนังสือเล่มนี้สามารถจะเปิดใจผู้อ่านให้ข้ามผ่านภาวะสามัญ..สู่การหยั่งรู้ที่จะโอบอุ้มและปกป้องธรรมชาติแห่งชีวิตได้อย่างลึกซึ้ง..ผ่านปฏิกิริยาแห่งการตื่นรู้และเข้าใจบริบทแห่งโลกอย่างแนบเนียน..แม้จะตกอยู่ท่ามกลางการโดนโจมตีจากผู้สูญเสียผลประโยชน์อันโฉดชั่วมากสักเพียงใด/กาลเวลาอันยาวนานที่ผ่านของชีวิตแห่งหนังสือเล่มนี้คือข้อประจักษ์ที่สามารถยืนยันได้ตลอดไปว่า หนังสือเล่มนี้มีส่วนโดยตรง..ในการทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงนโยบายของรัฐบาล..และเป็นแรงบันดาลใจที่จุดประกายให้เกิดขบวนการเคลื่อนไหวเพื่อปกป้อง..สิ่งแวดล้อมสมัยใหม่..!

“ดิสทัต โรจนาลักษณ์”..ถอดความและแปลหนังสือเล่มนี้ออกมาอย่างตั้งใจและเข้าใจ..มันส่งพลังอย่างมากต่อเนื้อในอันมีค่าที่ประกาศเจตจำนงอันถ่องแท้..ของ “ราเชล คาร์สัน”

.... “หลังมรณกรรมของเธอ..เธอซึ่งเป็นคนแรกที่รณรงค์ในเรื่องนี้จนมีผล..และต่อสู้กับอิทธิพลของบริษัทสารเคมีระดับโลกซึ่งขู่จะฟ้องหากตีพิมพ์หนังสือเล่มนี้ออกมา...ก็ได้รับเหรียญเพื่ออิสรภาพของประธานาธิบดี จิมมี คาร์เตอร์..เพื่อยกย่องเธอ.. ซึ่งนั่นก็เท่ากับว่าคนเราในยุคนี้ทั่วโลก..ต่างก็เป็นหนี้บุญคุณเธอ/..ทำให้ไม่ต้องตายเร็วไปเพราะยาฆ่าแมลงไปมากกว่านี้...!!!"