“เมฆินทร์” ลั่นรับไม่ได้เห็นภาพบาดตาบาดใจ “นายกฯ” รดน้ำขอพร “ทักษิณ” ยกเคส “สิงคโปร์” แม้แต่เพื่อนนายกฯ ก็ไม่ได้รับการยกเว้น

เมื่อวันที่ 17 เม.ย.67 นายเมฆินทร์ เอี่ยมสอาด กรรมการบริหารพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงความเคลื่อนไหวของนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี หลังจากได้รับการปล่อยตัวจากโรงพยาบาลตำรวจ เนื่องจากได้รับการพักโทษว่า ตนมองว่า ตั้งแต่นายทักษิณ ได้รับการปล่อยตัวมาแล้วนั้น ปรากฏว่า นายทักษิณ ได้ปฏิบัติตัวราวกับว่า เป็นผู้มีบารมีนอกรัฐบาล เพราะเนื่องจากเวลาไปไหนมาไหน ต่างมีรัฐมนตรี สส. ข้าราชการประจำ ต่างเฝ้าแหนพินอบพิเทาเพื่อหวังให้ได้สิ่งที่ตัวเองประสงค์ โดยข้ามหัว นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง อีกทั้ง ไม่ว่ารัฐบาลจะทำอะไรก็ตาม ก็ต้องผ่านไฟเขียวจากผู้มีบารมีนอกรัฐบาลเสียก่อน ดังนั้น นายทักษิณ ถือเป็นกรณีตัวอย่างความล้มเหลวของกระบวนการยุติธรรมของไทย เพราะปล่อยให้มีทั้งเอกสิทธิ์ที่ได้รับเฉพาะตัวและอภิสิทธิ์ที่เหนือกว่านักโทษทั่วไป รวมทั้ง ยังขัดกับสิ่งที่รัฐบาลชุดนี้ประกาศในคำแถลงนโยบายของรัฐบาลต่อรัฐสภาว่า ต้องการฟื้นฟูหลักนิติธรรม (Rule of Law) ที่เข้มแข็ง มีประสิทธิภาพ โปร่งใส โดยให้เป็นที่ยอมรับจากนานาประเทศ ดังนั้น ตนจึงอยากให้รัฐบาลของนายเศรษฐา คำนึงถึงสิ่งที่ประกาศเอาไว้ โดยจะต้องฟื้นฟูหลักนิติธรรมของประเทศ เพราะเป็นเครื่องมือสำคัญที่จะทำให้คนเท่ากันตามหลักการประชาธิปไตยอย่างแท้จริง โดยขอเรียกร้องให้ดำเนินการต่อนายทักษิณ ตามอย่างนักโทษทั่วไป ไม่ใช่ปล่อยให้มามีอิทธิพลหรือมาจุ้นจ้านในการใช้อำนาจรัฐ เพื่อไม่ให้เป็นขี้ปากของคนทั่วไปว่า ประเทศไทยมีนายกรัฐมนตรีตัวจริงเป็นนักโทษผู้ที่ได้รับคำพิพากษาในคดีทุจริตและมีคดีความมั่นคงที่กำลังพิจารณาอยู่ในเวลานี้ด้วย

“ผมเห็นภาพบาดตาบาดใจและสะเทือนความรู้สึกของคนไทยเป็นอย่างยิ่งคือ การที่นายกรัฐมนตรี ไปรดน้ำขอพรนักโทษที่ได้รับการพักโทษอย่างน่ากังขา ซึ่งถือเป็นคำตอบทั้งหมดทั้งมวลว่า รัฐบาลชุดนี้นำกระบวนการยุติธรรมมาบิดเบือนเพื่อรับใช้คนเพียงคนเดียว ทั้งๆ ที่รัฐบาลเอง มีการประกาศว่า จะฟื้นฟูหลักนิติธรรม  เพราะเห็นว่าการมีหลักนิติธรรมที่น่าเชื่อถือ เป็นการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานทางความคิดและสังคมที่สำคัญของประเทศ  แต่นายกรัฐมนตรี กลับไม่ทำตามที่ประกาศเสียเอง ดังนั้น ผมจึงขอยกตัวอย่างกรณีประเทศสิงคโปร์ ซึ่งได้รับการยกย่องว่าเป็นประเทศที่มีระเบียบวินัยและเจริญก้าวหน้ามากที่สุดประเทศหนึ่ง ซึ่งนายลี กวน ยู อดีตนายกรัฐมนตรีผู้ที่ครองอำนาจมากว่า 30 ปี ได้มีการดำเนินการสอบสวนเพื่อนของเขาที่ถูกกล่าวหาว่ารับสินบน โดยนายลี กวน ยู เห็นว่า 'ชาติสำคัญกว่าเพื่อน' จึงไม่ยอมช่วยเหลือให้เพื่อนของเขาให้รอดพ้นจากการถูกกล่าวหา สุดท้าย เพื่อนที่ถูกกล่าวหาก็ยอมรับผิดและตัดสินใจฆ่าตัวตาย  ซึ่งถือเป็นปัจจัยหนึ่งที่ทำให้ประเทศสิงคโปร์เจริญรุ่งเรือง แต่เมื่อกลับมาดูประเทศไทย มีนักการเมืองหนีคดีไปต่างประเทศ 15 ปี ระหว่างนั้น ก็ใช้ความรักความศรัทธาของประชาชนที่มีต่อตัวเอง มาปลุกระดมเพื่อให้ตัวเองกลับบ้านอย่างเท่ห์ ๆ แล้วพอกลับมาแล้ว ก็ต้องอยู่โรงพยาบาล 6 เดือน ไม่ได้นอนในคุกอย่างคนสูญสิ้นอิสรภาพเพื่อชดใช้ความผิดเลยแม้แต่วันเดียว ประชาชนก็ได้แต่มองตาปริบ ๆ ด้วยความรู้สึกเหมือนมีคนเอาตีนมาเหยียบหน้ามันเป็นกระบวนการยุติธรรมแบบ 'หน้าไม่อาย' อย่างที่สุด ดังนั้น คนที่เกี่ยวข้องทั้งหมด โปรดจดจำและจารึกไว้เลยว่า พวกคุณได้ทำความเลวทรามและต่ำช้านำความเสื่อมทรุดมาให้ประเทศนี้ ซึ่งประเทศใด ที่คนโกงชาติ โกงแผ่นดิน ได้รับความช่วยเหลือไม่ให้ต้องรับโทษ หรือรับโทษน้อยลง และยังถูกยกย่องสรรเสริญ ทำนายได้เลยว่า ประเทศนั้น จะเจริญรุ่งเรืองช้ากว่าประเทศอื่น เพราะคนในชาติมองว่า กฎหมายสามารถจะละเมิดได้ ถ้ามีเงินและมีอำนาจบารมีที่เพียงพอในการที่จะกระทำแบบนายทักษิณ” นายเมฆินทร์กล่าว