วันที่ 30 เม.ย.67 พลโท นันทเดช เมฆสวัสดิ์ อดีตหัวหน้าศูนย์ปฏิบัติการพิเศษ ศูนย์รักษาความปลอดภัยแห่งชาติ (ศรภ.) โพสต์เฟซบุ๊กระบุว่า...

ณ ที่นี้ เหลืองแดงแหล่งรวมหวัง

เรากำลังก้าวย่างห่างกว่าเก่า

ด้วยความคิดอิสระประสาเรา

รวมกันเข้าในระยางหางนกยูง

อาจคำนึงถึงความดีงามพร้อม

อาจอดออมเพื่อฤทัยที่ใฝ่สุข

อาจเจ็บปวดยามอธรรมเข้าค้ำจุน

แท้เพื่อฝูงชนได้รื่นรมย์

การรวมตัวของเพื่อนศิลปศาสตร์ ซึ่งต่อมาแยกกันไปเรียนคณะต่างๆ ของมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ในวัยสูงอายุจึงมีเรื่องราวให้พูดคุยกันอยู่มากมาย

เรื่องของตัวเองจะถูกนำมาพูดถึงน้อยลง เรื่องคนอื่นถูกนำมาพูดมากขึ้น ตามมาด้วยเรื่องโรคภัยไข้เจ็บ และเรื่องลูกหลานย่อมขาดไม่ได้ เพราะเป็นเรื่องที่ทุกคนต้องพูด และพูดออกมาคล้ายๆกัน คือ มหาวิทยาลัยเราทำไมมีอาจารย์แปลกๆแยะกว่าที่อื่น ลูกเรา ลูกชาวบ้านส่วนหนึ่งตอนเรียนมัธยมยังเป็นลูกหลานเราอยู่

แต่พอมาเรียนธรรมศาสตร์ เด็กส่วนหนึ่งดันกลายเป็นลูกหลานคณะราษฎรไปได้ไง ทิ้งพ่อ ทิ้งแม่ปู่ย่าตายายไปเฉยๆเลย

นี่เป็นหัวข้อพูดคุยที่ค่อนข้างซีเรียสนะครับ

เราย่อมรู้กันอยู่ว่า นักศึกษาต้องพึ่งพาอาจารย์อยู่มากทีเดียวในทุกมหาวิทยาลัย โดยเฉพาะในคณะที่สอนวิชาด้านสังคมศาสตร์ ที่อำนาจให้เกรดของอาจารย์คล้ายๆกับ อำนาจของคนสอนวิชา “หมัดเมา” เมื่อเด็กเมากันมากๆ ออกมาอาละวาดเอาแค่สัก 20 คน ก็เพียงพอที่จะทำให้ฟุตบอลประเพณีต้องยกเลิก ชมรมเชียร์ซึ่งทั้งชมรมมีคนมากกว่าก็ยังต้องอยู่เฉยๆ อาจารย์ดีๆก็ไม่อยากเดินผ่านไปตามคณะหล่านั้น เพราะอาจ ถูกนักศึกษาพูด”กระแทก”ตามหลังมา สู่เฉยๆไว้ดีกว่า

เรื่องแบบนี้บรรดาศิษย์เก่าอาวุโส หลายคนออกมาวิจารณ์ว่า ปัจจุบันฝ่ายบริหารมหาวิทยาลัย ก็พลอยเกรงกลัวคนพวกนี้ตามไปด้วย

เพราะอยู่ดีๆ องค์การ นศ.ออกมาถามว่า ร้านกาแฟในมหาวิทยาลัย ทำไมราคาก่อสร้างสูงจัง ไม่รู้จะตอบอย่างไร มีอยู่ 2-3 คนบอกว่า มหาวิทยาลัยอื่นแย่กว่าเราอีก ฝ่ายบริหารต้องหาห้องพักระดับดีๆให้เด็กพวกนี้อยู่เพื่อปิดปาก แต่อย่างไรก็ตามคนดีๆของทุกมหาวิทยาลัยย่อมมีมากกว่าแน่นอน เว้นแต่ไม่อยากออกมาเปียกฝนเท่านั้น

ปัจจุบันน่าจะเป็นโอกาศดีสำหรับมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ที่จะแก้ไขปัญหาเรื้อรังแบบนี้ เพราะกำลังอยู่ในช่วงสุดท้ายของการเลือกตั้ง อธิการบดีคนใหม่ (คนเก่าก็ควรอยู่เฉยๆไว้ใช่ไหมครับ) จึงต้องดูว่า สภามหาวิทยาลัยของธรรมศาสตร์ ยังมีเลือดเหลืองแดงอยู่อีกหรือเปล่า

ไม่ต้องทำอะไรมากหรอกครับ ประชากรของมหาวิทยาลัยส่วนใหญ่เขาจะเลือกใคร ก็ลองให้มันขับเคลื่อนไปตามระบอบประชาธิปไตยสักทีเถอะครับ ขอให้ข่าวจากหน่วยข่าวกรองแห่งหนึ่งเป็นจริงเถอะครับ เพราะระบุไว้ชัดเจนว่า ศ.ดร. ศุภสวัสดิ์ มีคะแนนนำ รศ.พิภพ มาโดยตลอดทุกสนาม

ถ้าเชื่อว่า “เด็ดดอกไม้แล้วกระเทือนถึงดวงดาว “

การเลือกตั้งอธิการบดีที่ มธ.ก็กระเทือนต่อสังคมไทยเหมือนกัน ใช่ไหมครับ

พรุงนี้ 30เมษายน 2567 ก็น่าจะทราบผลแล้วครับ

พลโทนันทเดช 29เม.ย.67