สืบเนื่องจากระหว่างปี พ.ศ 2555 - 2559 ผู้ต้องหารายนี้ เป็นอดีตผู้จัดการธนาคารแห่งหนึ่งใน จ พิษณุโลก ได้มีชาวบ้านรวมกันเป็นกลุ่มเพื่อมาขอกู้เงินนำไปพัฒนาองค์กรชุมชน  ตามโครงการสินเชื่อเพื่อพัฒนาชนบท แบบรายกลุ่มและนอกจากนั้นยังสามารถกู้เป็นในส่วนของรายบุคคลได้ โดยร่วมมือกับอดีตผู้ใหญ่บ้าน ต.แก่งโสภา โดย ให้ผู้ใหญ่บ้านทำหน้าที่เป็นผู้หาลูกค้าที่เป็นชาวบ้านในชุมชนของตนเอง เพื่อมากู้เงินนำไปพัฒนาชุมชน ชาวบ้านบางคนก็มีสิทธิ์ที่จะกู้ได้บางคนก็ไม่มีสิทธิ์ แต่ได้ทำการหลอกลวงชาวบ้านว่า หากต้องการที่จะได้รับสิทธิ์จะต้องกู้เงินให้ได้มียอดเยอะๆ โดยขอส่วนแบ่ง เป็นเงินกู้ครึ่งหนึ่งและจะช่วยผ่อน หากทำตามนี้จะได้รับการอนุมัติเงินกู้อย่างง่ายๆ แต่สุดท้าย เมื่อได้ครึ่งหนึ่งของเงินกู้ตามที่ชาวบ้านร้องขอไปแล้วกลับเชิดเงินหนี รวมยอดความเสียหายกว่า 40 ล้านบาท ชาวบ้านแห่ร้องเรียนศูนย์ดำรงธรรมพิษณุโลก จึงลาออกแล้วหลบหนีลอยนวล จนกระทั่ง เจ้าหน้าที่ ตำรวจ บก.ปปป. บุกรวบจับได้ 

จนเมื่อวันที่ 2 พ.ค. 67 ที่ผ่านมา บก.ปปป. (กองบังคับการป้องกันและปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบ)  ภายใต้อำนวยการของ พล.ต.ท.จิรภพ ภูริเดช ผบช.ก.,พล.ต.ต.จรูญเกียรติ ปานแก้ว รอง ผบช.ก. พล.ต.ต.ประสงค์ เฉลิมพันธ์ ผบก.ปปป. ได้มอบหมายให้  พ.ต.อ. ศานุวงษ์ คงคาอินทร์ ผกก.4 บก.ปปป. นำทีมงานออกสืบสวนกรณีดังกล่าวข้างต้น จนพบว่า พบอดีตผู้จัดธนาคารหลบหนีมากบดานเปิดแผงพระเครื่องย่านรังสิต ส่วนอดีตผู้ใหญ่บ้าน หนีไปเป็น รปภ. ตามบริษัทต่างๆ ใน จ.ฉะเชิงเทรา จึงนำกำลังเข้าจับกุมผู้ต้องหารับสารภาพ ทำจริง และรับว่าเป็นบุคคลตามหมายจับศาลอาญาคดีทุจริตฯ ภาค 6 จังหวัดพิษณุโลก และยังไม่เคยถูกจับมาก่อน

โดยพ.ต.อ.ศานุวงษ์ ผกก.4 บก.ปปป. กล่าวว่า  จากการสอบถามปากคำเบื้องต้น อดีตผู้ใหญ่บ้านแก่งโสภา ชื่อ นาย ทองสุข(สงวนนามสกุล ) รับว่า ตนได้ร่วมมือกับอดีตผู้จัดการธนาคารดังกล่าว ชื่อ นาย มงคล (สงวนนามสกุล) หาลูกค้าเป็นชาวบ้านในชุมชนตัวเอง มาเพื่อกู้เงินในโครงการพัฒนาองค์กรชุมชน โดยสามารถกู้เงินจากธนาคารได้ ทั้งแบบกลุ่ม และแบบรายบุคคล โดยอ้างเหตุจูงใจว่า หากชาวบ้านท่านใดที่ไม่มีสิทธิ์ที่จะกู้เงินตามโครงการ แต่ต้องการจะกู้ ให้เขียนยอดกู้เผื่อตนกับผู้จัดการธนาคารเพิ่มอีกเท่าตัวของจำนวนเงินที่ตั้งใจไว้ และรับปากว่า จะช่วยผ่อนชำระเพื่อให้ชาวบ้านคนนั้น ๆ ได้รับเงินไปใช้ก่อน  ตามจำนวนที่ต้องการ แต่สุดท้าย ตนเหมือนถูกผู้จัดการธนาคารหลอกใช้ อ้างว่า นอกจากตนจะไม่ได้ส่วนแบ่งแล้ว ยังมาถูกดำเนินคดี มีหมายจับติดตัวอีก ส่วนตัวตามหาผู้จัดการอยู่ตลอด แต่ติดต่อไม่ได้ 

ในส่วนของ นายมงคล(สงวนนามสกุล) อดีตผู้จัดการธนาคาร ให้การรับสารภาพว่า ทำจริง แต่ก็ไม่ได้อยู่สบาย เพราะถูกดำเนินคดีอื่นๆ อีกหลายคดี ยึดทรัพย์จนหมดตัว หลบหนีมาขายพระเครื่องย่านรังสิต-ฟิวเจอร์พาร์ค หากินไปวัน ๆ และไม่ติดต่อกับใครหรือกลับบ้านเกิดแต่อย่างใด

แจ้งข้อหา นายมงคล อดีต ผจก.แบงค์ ผู้ต้องหาว่ากระทำความผิดฐาน เป็นพนักงาน มีหน้าที่ซื้อ ทำ จัดการหรือรักษาทรัพย์ใดเบียดบังทรัพย์นั้นเป็นของตนหรือเป็นของผู้อื่นโดยทุจริต หรือโดยทุจริตยอมให้ผู้อื่นเอาทรัพย์นั้นเสีย,  ฐานเป็นพนักงาน ใช้อำนาจในหน้าที่โดยมิชอบ ข่มขืนใจหรือจูงใจ เพื่อให้บุคคลใด    มอบให้หรือหามาให้ซึ่งทรัพย์สินหรือประโยชน์อื่นใดแก่ตนเองหรือผู้อื่น, ฐานเป็นพนักงานปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด หรือปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต ส่วน นาย ทองสุข อดีต ผญบ.แจ้งข้อหา ว่ากระทำความผิดฐานเป็นผู้สนับสนุนพนักงาน

โดยเหตุการณ์ในครั้งนี้ มูลค่าทรัพย์ที่เสียหาย คิดเป็นจำนวนทั้งสิ้นกว่า 40 ล้านบาท  การกระทำดังกล่าวนี้ อาจเกิดอยู่ในหลายหน่วยงานที่ยังไม่ได้ตรวจสอบอย่างจริงจัง หรือมีการกระทำเป็นลักษณะขบวนการที่แนบเนียน อันก่อให้เกิดผลกระทบต่อประชาชนเป็นจำนวนมาก ซึ่ง บก.ปปป. ไม่สามารถปล่อยให้ลอยนวลอยู่ได้