การที่ สุทิน คลังแสง ได้ นั่งเก้าอี้ รมว.กลาโหม ต่อสะท้อนถึงความแข็งโป๊ก เพราะขนาด นายกฯ เล็งจะมาควบ รมว.กลาโหม แต่ที่สุด ก็ยังเหลือเก้าอี้นายกฯตัวเดียว ไม่ได้ควบใดๆ

ความแข็งโป๊กของ สุทิน กำลังถูกจับตามองว่า เป็นเพราะมีแบ็กอัปดี  โดยเฉพาะ พายัพ ชินวัตร น้องชาย ทักษิณ ชินวัตร ที่เคยมีชื่อจะเป็นประธานที่ปรึกษา รมว.กลาโหม แต่เมื่อเอกสารหลุด สุทิน ก็ยกเลิกคำสั่งไป

แต่โดยความสนิทสนมแล้ว สุทิน ก็ยังมี พายัพ เคียงข้าง แม้แต่การไปรดน้ำสงกรานต์ ปีใหม่ไทย ทักษิณ ที่เชียงใหม่ สุทิน เป็นคนเปิดเผยเองว่า อยู่กับ พายัพ พร้อมชี้แจง ดราม่าคลิปที่ ทักษิณ ไม่รับมาลัย จนเปิดเผยว่า ได้พบ ทักษิณ ส่วนตัว ก่อนหน้านั้น แล้วตั้งแต่ 9 เม.ย.2567

จึงเป็นการ สะท้อนความแข็งโป๊กของ สุทิน ได้อีกด้วยว่า ก็สามารถ สายตรงกับ ทักษิณ ได้ ที่ถือเป็นจุดแข็งที่สุด ที่สำคัญ การที่ สุทิน ได้นั่ง รมว.กลาโหม พลเรือนต่อ ไม่ใช่ปัจจัย เรื่องสายตรง แต่เป็น ยุทธศาสตร์ ของ ทักษิณ ที่ต้องการใช้ความเป็น พลเรือน ความเป็นนักการเมืองมากประสบการณ์  คุมกลาโหมต่อไป บรรลุเป้าหมาย ที่อยากจะให้ กระทรวงกลาโหม เป็นเหมือน กระทรวง ทบวง กรมอื่นๆ ที่พลเรือน มาบริหารได้  ไม่ใช่กระทรวงอภิสิทธิ์ ที่ต้องให้ รมว.กลาโหม เป็นทหาร เท่านั้น

อีกทั้ง ทักษิณ ยังต้องการยื้อเวลาการต่อรอง กับ ขั้วอนุรักษ์นิยม ที่ต้องการให้ ทหาร มาเป็น รมว.กลาโหม โดยให้รอไปก่อน โดยให้ “บิ๊กเล็ก” พล.อ.ณัฐพล นาคพาณิชย์ สายตรง “บิ๊กตู่” เป็น เลขานุการ รมว.กลาโหม ไปก่อน แต่ก็ยังไม่ให้เป็น  รมช.กลาโหม ในการ ปรับครม. ที่ผ่านมา และ เพื่อรักษาภาพ พลเรือน ของรัฐบาล เศรษฐา ทวีสิน ไว้ เพราะ ทักษิณ ก็ยังไม่ยอมปล่อยให้ ขั้วอนุรักษ์นิยม ยึดกลาโหม หรือ ทหารคุมกันเอง เพราะเสี่ยงต่อ ประวัติศาสตร์ซ้ำรอย

อีกทั้ง สุทิน ก็ทำหน้าที่ รมว.กลาโหม ในห้วง 7 เดือน ที่ผ่านมา ได้เป็นอย่างดี สามารถบาล้านซ์ ระหว่าง กองทัพ กับรัฐบาล และประชาชน  เพราะใช้ทั้ง ไม้นวม และไม้แข็ง ทั้งการเอาใจทหาร ยอมในหลายเรื่องที่ ผบ.เหล่าทัพ ขอ โดยเฉพาะการจัดโผแต่งตั้งโยกย้ายนายพล เม.ย. ที่ผ่านมา ที่ สุทิน สละโควตา รมว.กลาโหม ให้ นายทหาร เตรียมทหาร 24 ของ พล.อ.สนิธชนก สังขจันทร์ ปลัดกลาโหม และ พล.อ.ทรงวิทย์ หนุนภักดี  ผบ.ทหารสูงสุด ที่จะเกษียณ เลื่อนยศ นายพล ถึงกว่า 30 คน

รวมทั้ง การยังให้นายทหารสาย 3 ป. ยังคงอยู่ในตำแหน่ง ต่อไป โดยเฉพาะ ในสำนักงาน รมต. 

แต่ไม้แข็งในเรื่องที่เป็นนโยบายพรรค ทั้งการตัดงบฯเรือฟริเกต ของ ทร. หลัง กมธ.งบประมาณ 2567 ตัดทิ้ง และ สุทิน ไม่ได้เสนอเข้าบรรจุ ในงบฯปี 2568 ตามนโยบาย นายกฯ  แต่ก็ให้ความหวัง ว่า จะให้ซื้อในงบฯปี 2569  ทีเดียว 2 ลำ เลย

รวมทั้งการเปลี่ยนระบบการจัดซื้ออาวุธยุทโธปกรณ์ ใหม่ ที่ สุทิน ตั้งกรรมการศึกษาความเป็นไปได้ โดยมี พล.อ.สมศักดิ์  รุ่งสิตา ที่ปรึกษารมว.กลาโหม  ร่วมด้วย ปลัดกลาโหม ผบ.ทหารสูงสุด และ ผบ. ทุกเหล่าทัพ  เพื่อร่วมพิจารณา การวางน้ำหนักการจัดซื้ออาวุธยุทโธปกรณ์  ของทุกเหล่าทัพ ในแต่ละปีงบประมาณ ควรจะซื้ออะไร ให้สอดคล้องกับ ยุทธศาสตร์ ภัยคุกคาม  แต่ยังให้อำนาจ ผบ.เหล่าทัพ ในการจัดซื้อ จัดจ้างยังตามเดิม เพราะเหล่าทัพ เป็นนิติบุคคล

รวมทั้ง ความพยายามในการยกเลิก เรือดำน้ำจีน ที่คาราคาซัง มาตั้งแต่ รัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา หลังเยอรมนี ไม่ขายเครื่องยนต์ให้ จีน ใส่ในเรือดำน้ำของ ทร.ไทย ตามที่ระบุในสัญญา จนต้องเสียเวลาในการเจรจา จนที่สุด จีนขอให้ใช้เครื่องยนต์จีน ใส่แทน ทั้งๆที่ไม่เคยใส่ในเรือดำน้ำของจีน มาก่อน  จึงส่งผลต่อความเชื่อมั่น

สุทิน พยายามยกเลิก เรือดำน้ำจีนครั้งแรกมาแล้วครั้งหนึ่ง ในช่วงต้นปี 2567 แต่ไม่สำเร็จ เพราะบริษัทจีน ที่ต่อเรือดำน้ำไม่ยอม แต่ สุทิน ก็มาพยายาม อีกครั้ง ในการขอเปลี่ยน เป็นเรือฟริเกต ถึงขั้น สุทิน เดินทางไปจีน ด้วยตนเอง และในที่สุด รัฐบาลจีนจะส่งตัวแทน มาเจรจา สรุปผลกับไทย ภายใน พ.ค.นี้ หาทางออก ในระดับรัฐบาลกับรัฐบาล โดย สุทิน ขอนายกฯให้ รมว.พาณิชย์ เจรจากับ ทูตจีน ที่คาดว่า จะเป็นเรื่องการค้าต่างตอบแทน ตามนโยบาย Offset Policy ของรัฐบาล

ท่ามกลางกระแสข่าวว่า จะเดินหน้า ต่อเรือดำน้ำจีน ลำแรกต่อไป โดยเปลี่ยนเป็น เครื่องยนต์จีน และ อาจทำตามแผน คือ ต่อเรือดำน้ำจีน ลำที่ 2 และ 3 ตามแผนเดิม

การได้เป็น รมว.กลาโหมต่อ ของ สุทิน จึงดูน่าเกรงขามมากขึ้น เพราะดูมีพาวเวอร์มากขึัน จาก แบ็กอัป อย่าง ทักษิณ รวมทั้ง อดีตบิ๊กทหาร หลายคน ที่เป็นที่ปรึกษาส่วนตัวทั้ง “บิ๊กโอ๋” พล.อ.อ.สุกำพล สุวรรณทัต อดีต รมว.กลาโหม สมัย น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เพื่อน ตท.10 ของ ทักษิณ  และ “บิ๊กแอ๊ด” พล.อ.ธรรมรักษ์ อิศรางกูร ณ อยุธยา  อดีต รมว.กลาโหม ยุค ทักษิณ

ภารกิจสำคัญที่ สุทิน ได้ไปต่อ คือ การปฏิรูปกองทัพ และ การแก้ไข พรบ.จัดระเบียบราชการกระทรวงกลาโหม พศ.2551  เพื่อสกัดการรัฐประหาร แต่ไม่แตะ บอร์ด 7 เสือกลาโหม  ที่มีอำนาจในการแต่งตั้งโยกย้ายนายพล ท่ามกลางปฏิกิริยาของ สายเขียว ขั้วอนุรักษ์นิยม ที่ต่อต้าน โจมตี ว่า สุทิน จะล้วงลูกแทรกแซงกองทัพ ที่สะท้อนถึงว่า ยังสนับสนุนให้เกิดรัฐประหาร

สุทิน ยืนยันเดินหน้าต่อ แก้ไข พรบ.กลาโหม  แม้จะถูกวิจารณ์ว่า ก.ม.ใดก็หยุดรัฐประหาร ไม่ได้ แต่สุทิน ระบุว่า “แม้จะไม่ 100% แต่ก็เป็นการตัดไฟ แต่ต้นลม เมื่อพบว่ามีความเคลื่อนไหว ที่ถือเป็นหลักฐาน  อีกทั้ง ก.ม.อื่นที่มีอยู่ อาจไม่ทันต่อสถานการณ์ ไม่แข็งแรงพอ แต่ พ.ร.บ.กลาโหมที่จะแก้ไขนี้ จะแข็งแรงกว่า ยิ่งในเชิงป้องปราม มันไม่ชัดเจนเหมือน ก.ม.นี้” 

โดยให้อำนาจนายกฯ เสนอครม. สั่ง “พักราชการ” ทันที  เมื่อปรากฏข้อเท็จจริงว่า ข้าราชการทหารผู้ใด ที่ใช้กำลัง ทหาร เพื่อยึดหรือควบคุมอำนาจการบริหารราชการแผ่นดินจากรัฐบาล หรือเพื่อก่อการกบฏ ที่ทำให้ กองทัพ ถูกจับตามอง แต่ ผบ.เหล่าทัพ ก็ยังสงวนท่าที ต่อ การแก้ พ.ร.บ.กลาโหม นี้

แต่อย่างไรก็ตาม ยังเป็นที่จับตามองว่า สุทิน จะเป็น รมว.กลาโหม ไปอีกนานแค่ไหน ท่ามกลางกระแสข่าวลือ ที่ว่าเศรษฐา เหลือแค่เก้าอี้เดียว รอวันที่จะมาควบ รมว.กลาโหม  ในช่วง เดือน ส.ค. ช่วง แต่งตั้งโยกย้ายทหารพอดีหรือไม่ เพื่อเพิ่มอำนาจการต่อรอง แต่ สุทิน ได้สยบกระแสข่าวนี้ ด้วยการระบุว่า ได้พบ เศรษฐา ที่ทำเนียบรัฐบาล เมื่อ 24 เม.ย.ที่ผ่านมา โดย เศรษฐา เปรยว่า คนเข้าใจผิด  นายกฯไม่เคยคิดว่าจะมาควบ รมว.กลาโหม แต่ก็เป็นการคาดหมายกันไป บางคน ก็ซ้ำเติมปล่อยข่าวกันไป

ทั้งนี้ เพื่อสร้างความมั่นใจว่า เก้าอี้ยังมั่นคงแข็งแรง และ จะเป็น รมว.กลาโหม ที่แข็งโป๊ก จากเดิมที่ ผบ.เหล่าทัพ อาจไม่ค่อยให้ ความสำคัญ สุทิน มากนัก เพราะ สายตรง เศรษฐา ได้เลย เพราะ ปกติ เศรษฐา ก็คุยตรง ผบ.เหล่าทัพ ข้ามหัว สุทิน อยู่แล้ว

ว่ากันว่าจากนี้ ไปจะเห็น “บิ๊กทิน” ในมาดใหม่ ที่เข้มขึ้นเลยทีเดียว