ล้วงลึกผ่านดราม่า ครม.เศรษฐา 1/1 และ 1/2 ที่ตามมาในเวลาไล่เลี่ยกันแบบกะทันหันนั้น  สะท้อนถึงการยกระดับ “แนวรบ”ของ ทักษิณ ชินวัตร  คุมเกมจัดทัพหลวงส่ง “ตัวจริง” ลงสนาม หวังสร้างเกม “ได้-เสีย” ชนิดไม่สนหน้าอินทร์หน้าพรหม

โฟกัสในส่วนของพรรคเพื่อไทย หลังจากตอบแทน กลุ่มทุนและขุนศึก ในครม.ชุดแรกผ่านไป 7 เดือน  ก็เปลี่ยนตัวผู้เล่นออกนอกสนาม  3 ตำแหน่ง ไม่ว่าจะเป็น นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว พวงเพ็ชร ชุนละเอียด และไชยา พรหมา

ขณะเดียวกันก็เติมเกมรุก ผ่าน 3 ผู้เล่นสำคัญ ไม่ว่าจะเป็น พิชัย ชุณหวชิร ในตำแหน่งกองหน้า  เศรษฐกิจ นั่งเก้าอี้รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ที่มีภารกิจในการฟื้นฟูเศรษฐกิจ หารายได้เข้าคลัง ตามสโลแกนพรรคเพื่อไทย “หาเงินได้ ใช้เงินเป็น” และผลักดันโครงการเติมเงิน1หมื่นบาทผ่านระบบดิจิทัลวอลเล็ต 

ซึ่ง “พิชัย” นั้นเชี่ยวชาญชำนาญศึกในตลาดทุน และเป็นกระบี่คู่ใจของ “หมอมิ้ง”นพ.พรหมินทร์ เลิศสุริย์เดช มาตั้งแต่สมัยเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน

อีกหนึ่งผู้เล่น ที่ถือเป็น “แบ็กซ้าย” ที่ตลาดโลกต้องการนั่นคือ เผ่าภูมิ โรจนสกุล มาเติมในเก้าอี้รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง มีภาพลักษณ์คนรุ่นใหม่ ในฐานะเจ้าของโครงการเติมเงิน1หมื่นบาทผ่านระบบดิจิทัลตัวจริงเสียงจริง ที่สามารถเติมเกมรุก และเติมเกมรับให้ได้แบบอเนกประสงค์ โดยเฉพาะการรับศึกฝ่ายค้าน

ส่วนอีกหนึ่งผู้เล่น ที่เรียกได้ว่า เป็น “กองหลัง” สำคัญ ที่จะมารับมือประเด็นทางด้านกฎหมายในการบริหารราชการต่างๆ รวมทั้งประเด็นทางด้านกฎหมายในโครงการเติมเงิน1หมื่นบาทผ่านระบบดิจิทัลวอลเล็ต นั่นก็คือ พิชิต ชื่นบาน ในตำแหน่งรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ที่แม้ในการจัดโผครม.ชุดแรกจะมีชื่อของเขาเข้ามาแล้วรอบหนึ่ง แต่ได้ถอนตัวออกไปเพราะกระแสต่อต้าน

ล่าสุด ดันกลับเข้ามาอีกครั้งในครม.เศรษฐา 1/1 และผ่านฉลุย แม้ตัวเขาเองจะตกเป็นเป้าถูกโจมตีจากหลายฝ่ายเรื่องคุณสมบัติ โดยยังไม่ทันได้เข้าถวายสัตย์ปฏิญาณตนก็มีผู้ไปร้องให้ผู้ตรวจการแผ่นดินและกกต.ตรวจสอบคุณสมบัติแล้ว เรียกว่าเป็น รัฐมนตรีสายล่อฟ้าของรัฐบางเศรษฐา แต่อีกนัยหนึ่งก็เป็นการติดอาวุธที่สำคัญให้กับรัฐบาลที่อ่อนเรื่องกฎหมาย  

และแม้จะเกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝัน หรืออาจจะเป็นความบังเอิญอย่างจงใจหรือไม่ จากอาฟเตอร์ช็อกหลังการปรับครม. ที่ ปานปรีย์ พหิทธานุกร ทิ้งเก้าอี้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ เดินออกนอกสนามไป ประท้วงการจัดตัวผู้เล่นที่ทำให้เขาต้องหลุดออกจากเก้าอี้รองนายกรัฐมนตรี มีเพียงเก้าอี้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศเพียงตำแหน่งเดียว ด้วยให้เหตุผลว่าอาจทำให้ทำงานในการเจรจาต่างๆไม่ราบรื่น

ที่ว่า บังเอิญอย่างจงใจนั้น ก็เป็นเพราะ “ทักษิณ” ย่อมรู้จัก “ตัวตน”ของ “ปานปรีย์”เป็นอย่างดี ที่ “ยอมหักไม่ยอมงอ”  แม้ “นายกฯนิด”เศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีจะบอกว่าได้แจ้งให้ทราบล่วงหน้าแล้วถึงการปรับเปลี่ยนตำแหน่ง แต่เมื่อ “ปานปรีย์”ไม่มีสส.ในมือ เฉกเช่นนักการเมืองเขี้ยวลากดินอื่นๆ ไฉนเลยจะเอาอะไรไปต่อรองกับ นายกฯนิด มีทางเลือกเพียงจำยอมหรือถอยออกมาเพียงเท่านั้น

ฉะนั้น จึงเป็นจังหวะที่พอเหมาะพอเจาะหรือไม่ ที่ได้เปลี่ยนตัวผู้เล่น ให้ “ตัวจริง” ที่อยู่เบื้องหลังมาตลอดอีกคนมาลงเล่นแทน หลังวอร์มอยู่ข้างสนามมานาน ในตำแหน่งที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศของ “ปานปรีย์”มาก่อน

นั่นก็คือ “ทูตปู”มาริษ เสงี่ยมพงษ์ เข้ามาเป็น “ปีกขวา” เสียบเก้าอี้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ที่เป็นผู้หนึ่งที่มีข้อมูลระบุว่ามีสายสัมพันธ์กับ “ทักษิณ” ตั้งแต่สมัยดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ และมีรายงานอ้างว่าเคยพบกับ “ทักษิณ”ขณะที่หลบหนีอยู่ในต่างประเทศ พอมาในรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ได้รับการแต่งตั้งให้เป็นเอกอัครราชทูตฯ สาธารณรัฐวานูอาตู ต่อมาเมื่อมาถึงยุครัฐบาลพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ได้มีคำสั่งย้าย “มาริษ” 

ฉะนั้น เมื่อเจาะภาพรวม 4 ผู้เล่นในครม.เศรษฐา1/1 และ1/2 ก็สะท้อนวันนี้ “ทักษิณ” พร้อมเดินหน้าท้าทายทุกทิศ  อาจยิ่งใกล้เวลาที่ สมาชิกวุฒิสภา จะหมดวาระด้วยหรือไม่  ที่ทำให้ความพยายามของขั้วอำนาจเก่า ในการที่จะเปลี่ยนแปลงการเมือง เปลี่ยนตัวนายกฯนั้นค่อยๆหมดไป

เว้นแต่จะเกิดการเปลี่ยนแปลงจากคำประกาศิตของ “ทักษิณ”เอง ที่ “เศรษฐา”เองก็ย่อมตระหนักดีในภาวะที่เขาต้องถอยจากการนั่งควบเก้าอี้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง

ในสถานการณ์ที่ “ทักษิณ”คุมเกมเบ็ดเสร็จเช่นนี้ ยังสะท้อน “ดีลอำนาจ” ยังไม่เปลี่ยนแปลง ทำให้เขาพร้อมรับ “แรงกระแทก” จากทุกสารทิศ เหนืออื่นใดคือ เดิมพันสูงที่เขาจะต้องพาพรรคเพี่อไทยขึ้นนำ “จ่าฝูง”ให้ได้ ก่อนหมดเทอมรัฐบาลเพื่อไทย

และในอนาคตอันใกล้กับสนามเลือกตั้งท้องถิ่นในต้นปีหน้า ที่สะกดคำว่า “แพ้” ไม่ได้