สัปดาห์วิจารณ์/W7008(คอลัมน์ สะพายกล้องท่องโลก) ความทรงจำใต้เบื้องพระยุคลบาท (3) วาทินี ห้วยแสน [email protected] สัปดาห์นี้ของ คอลัมน์ สะพายกล้องท่องโลก ได้น้อมนำเรื่องราวความทรงจำเมื่อครั้งตามรอยพระยุคลบาทไปยังประเทศสวิสเซอร์แลนด์อย่างต่อเนื่องเป็นตอนที่ 3 เพื่อเป็นส่วนหนึ่งของการแสดงความจงรักภักดี ผ่านพระบารมีของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชฯ พระมหากษัตริย์ที่ยิ่งใหญ่ของเมืองไทย สืบต่อไป พระบารมียิ่งใหญ่ไพศาล จากความทรงจำใต้เบื้องพระยุคลบาท เมื่อครั้งเดินทางไปยังประเทศสวิสเซอร์แลนด์ในปี 2549นับวันยิ่งรับรู้ถึงพระบารมีล้นเกล้าล้นกระหม่อมของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชฯ ที่แผ่ไพศาลไปทั่ว เพราะถ้าจะเดาว่าสิ่งที่เกิดขึ้นเป็นปาฏิหารย์ก็ออกจะเกินตัวไปนิด แต่การได้มาพบเจอกับชาวสวิส และชาวฝรั่งเศสที่รู้จักพระองค์เป็นอย่างดีในประเทศสวิสเซอร์แลนด์ ยิ่งทำให้พวกเรารัก และเทิดทูนพระองค์อย่างไม่มีวันเสื่อมคลาย จากแฟรตเลขที่ 16 บนถนนทิสโซต์ ในวันที่ทุกคนไปถึงจุดหมายในช่วงสายๆ ของวันก่อนที่จะแยกย้ายกันถ่ายรูปเพื่อเก็บข้อมูลล่าสุด กลับเจอเหตุการณ์อันน่าทึ่ง เนื่องจากมีชาวต่างชาติคนหนึ่งเดินเข้ามาทักทาย พร้อมกับถามเป็นภาษาไทยกับทุกคนว่า "คนไทยหรือเปล่า" เมื่อทุกคนพยักหน้า และบอกจุดประสงค์ที่มาที่ไป เขายิ่งมีสีหน้าชื่นชม ก่อนที่จะตอบกลับมาเป็นภาษาอังกฤษว่า รู้จักในหลวงของไทยเป็นอย่างดี และทราบดีว่าในปีนี้ และปีหน้าจะเป็นปีมหามงคลของเมืองไทย สำหรับ 'ฟิลิป โครี่' ชาวฝรั่งเศสผู้ซึ่งทำงานในองค์การสหประชาชาติ หรือยูเนสโก(UNESCO) ประจำประเทศไทยเป็นเวลากว่า 10 ปี ก่อนที่จะย้ายไปประจำอยู่ที่เมืองนิวยอร์ค ประเทศสหรัฐอเมริกาในเวลานี้ เป็นชาวต่างประเทศอีกคนหนึ่งที่ประทับใจในเมืองไทย และชื่นชมกับพระบารมีของในหลวงเราเป็นอย่างยิ่ง "พระองค์เป็นคนดี ขยันทำงาน จึงทำให้ประชาชนทั้งประเทศรักท่าน" เป็นคำพูดของฟิลิป ที่ทิ้งท้ายไว้ก่อนจะกล่าวลากับคณะของพวกเรา เพื่อไปทำธุระในเมืองเจนีวา ที่ประเทศสวิสเซอร์แลนด์ ต่อไป สงบเงียบและมีไมตรีจิต หรือแม้แต่สถานที่ซึ่งสมเด็จพระบรมราชชนนี และสมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ได้ย้ายไปประทับอยู่ที่อพาร์ทเมนท์เลขที่ 19 บนถนนเอวองค์โพสต์ ซึ่งเดินเท้าจากแฟรตเลขที่ 16 บนถนนทิสโซต์เพียง 15 นาที อยู่ใกล้ๆ กับสวนสาธารณะ เป็นอพาร์ทเมนท์ที่ทั้งสองพระองค์ได้เสด็จมาประทับ ภายหลังจากพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชฯ เสด็จขึ้นครองราชย์ และทรงอภิเษกสมรส ก่อนจะเสด็จฯ กลับมายังเมืองโลซาน เพื่อศึกษาต่ออีกครั้งหนึ่ง ในครั้งนั้นพระองค์ ได้เสด็จฯ มาพร้อมกับสมเด็จพระบรมราชินีนาถ โดยได้ไปพำนักอยู่ที่พระตำหนักวิลล่าวัฒนา พระตำหนักเดิมที่ทรงเคยอยู่กับสมเด็จพระบรมราชชนนี แต่เพื่อให้สมพระเกียรติของพระองค์ท่าน จึงทำให้สมเด็จพระบรมราชชนนีทรงย้ายตัวเองออกจากพระตำหนักวิลล่าวัฒนา โดยมาพำนักอยู่กับสมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอฯ ภายในอพาร์ทเมนท์ดังกล่าวเป็นเวลาหลายปี แม้ในภายหลังเมื่อพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชฯนิวัติประเทศไทยแล้ว พระองค์ก็ยังทรงเช่าอพาร์ทเมนท์นี้ต่ออีกเป็นเวลาหลายสิบปี ส่วนหนึ่งอาจจะเป็นเพราะที่อพาร์ทเมนท์แห่งนี้มีบริเวณโดยรอบที่ค่อนข้างเงียบสงบ มีความเป็นส่วนตัวสูง จนถึงกับมีคนเคยกล่าวไว้ว่า ถ้าใครมีโอกาสไปสวิส พึงทราบไว้ด้วยว่า อย่าส่งเสียงดัง ถ้านั่งคุยกันในร้านอาหารแล้วคนอื่นเขามอง จงรู้ไว้ด้วยว่าเขามองเพราะต้องการให้สงบปากสงบคำ แม้จะมองด้วยสายตาเปี่ยมด้วยไมตรีจิตก็ตามที ก็อย่าไปแปลความหมายสายตาของเขาว่า เขาอยากจะมาร่วมวงสนทนาด้วย โดยเฉพาะช่วงเวลาหลังหนึ่งทุ่มของทุกวัน ถือเป็นเวลาส่วนตัวจะไม่มีคนใดที่จะโทรศัพท์หากัน นอกเสียจากจะมีเรื่องร้ายแรง ถึงขั้นคอขาดบาดตายจริงๆ ส่วนวันอาทิตย์ถือเป็นวันพักผ่อน ดังนั้นจึงเป็นเรื่องไม่แปลกถ้าชาวสวิสส่วนใหญ่จะตื่นกันสายในวันที่เดินทางไปถึง ซึ่งเป็นวันอาทิตย์ นั้นเอง และจะไม่มีใครออกมาส่งเสียงดังข้างๆ ห้องให้ได้ยิน เนื่องจากชาวสวิสจะเคารพสิทธิเสรีภาพของตัวเอง และผู้อื่นอย่างเต็มเปี่ยม ซึ่งอพาร์ทเมนท์เลขที่ 19 บนถนนเอวองค์โพสต์ แห่งนี้ก็เช่นเดียวกัน ถึงแม้จะมีรั้วกั้นระหว่างแนวอาคาร แต่ไม่มีรั้วรอบขอบชิดเหมือนกับแฟรตบนถนนทิสโซต์ อาคารมีความสูง 5 ชั้น โดยทั้งสองพระองค์ได้พำนักอยู่ที่ชั้น 4 บริเวณกลางๆ ของตึกดังกล่าว โดยไม่เคยถูกใครรบกวนพระอิริยาบถแม้แต่น้อย พระองค์ทรงเป็นบุคคลสำคัญ ดังนั้นในบางวันที่อากาศดีๆ สมเด็จพระบรมราชชนนีจึงทรงใช้เวลาว่างในการพักผ่อน ด้วยการเดินออกกำลังกายไปยังสวนสาธารณะใกล้ๆ อพาร์ทเมนท์ที่ประทับ เพื่อสัมผัสกับธรรมชาติอย่างใกล้ชิด เพราะภายในสวนแห่งนี้แวดล้อมไปด้วยต้นไม้นานาพันธุ์ที่ขึ้นเขียวครึ้มไปทั่ว อีกทั้งยังมีนกเกือบทุกชนิดอยู่ในกรงอย่างสวยงาม อย่างไรก็ตามแม้สังคมสวิสจะมีความเป็นส่วนตัวสูงเพียงใด แต่ด้วยอัธยาศัยไมตรีตามแบบฉบับของชาวไทย จึงทำให้สมเด็จพระบรมราชชนนีทรงเป็นที่รู้จักของทุกๆ คนที่อาศัยอยู่ในบริเวณเดียวกัน อย่างเช่น 'เดอนิส' คุณยายวัย 90 ปี แต่ร่างกายยังแข็งแรงสามารถเดินเหินได้อย่างสะดวก ที่บังเอิญเดินลงมาจากอพาร์ทเมนท์ดังกล่าว จึงถูกรุมถามจากคณะตามรอยเบื้องพระยุคลบาท แม้ทราบกันดีว่าเป็นการล่วงล้ำสิทธิส่วนบุคคลก็ตาม แต่ด้วยความใคร่รู้เกี่ยวกับพระราชวงศ์ของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชฯจึงทำให้ทุกคนต่างมุ่งหวังคำตอบที่ออกมาจากปากเธอ ซึ่งก็ไม่ผิดหวังเพราะ"เดอนิส"ไม่ขัดข้องที่จะตอบคำถาม และมันช่างบังเอิญที่ว่า เธอกับสมเด็จพระบรมราชชนนีพักในชั้นเดียวกัน!!! "เดอนิส" บอกว่า แม้จะพักอยู่ชั้นเดียวกัน แต่ไม่เคยเข้าไปพูดคุยสนทนา เนื่องจากคิดว่าแต่ละคนต้องการความเป็นส่วนตัว และในเวลานั้นก็ทราบเป็นอย่างดีว่า พระองค์ทรงเป็นบุคคลที่สำคัญ เป็นถึงพระบรมราชชนนีของกษัตริย์เมืองไทยทีเดียว เจ้านายเล็กๆจากประเทศสยาม อีกทั้งตามเส้นทางตามรอยเบื้องพระยุคลบาทนั้น ได้มีเหตุการณ์ต่างๆ ที่เน้นย้ำถึงพระบารมีของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชฯ ตลอดเวลา ไม่เฉพาะแต่สถานที่พักอาศัย แต่ในอาณาบริเวณเดียวกันกลับมีคนรู้จักพระองค์อย่างไม่น่าเชื่อ!!! อย่างเช่นใน พิพิธภัณฑ์โอลิมปิค ซึ่งตั้งอยู่ใกล้ๆ กับโรงแรมโบลิวาจ เลียบชายฝั่งทะเลสาบเลมอง เป็นอีกสถานที่หนึ่งที่พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชฯเมื่อครั้งยังทรงพระเยาว์ได้ใช้เป็นสถานที่พักผ่อน ออกกำลังกาย และเล่นเรือใบเป็นเวลาหลายสิบปี เพราะฉะนั้นจึงเป็นเรื่องไม่แปลกที่ภาพของเด็กชายตัวเล็กๆ ผอมๆ ซุกซนนิดๆ และมีอัธยาศัยจะคุ้นตาผู้คนชาวสวิสที่อาศัยอยู่ในบริเวณดังกล่าวเป็นอย่างดี ทั้งนี้ ฟิลิป ไรเตอร์ อาจารย์ประจำมหาวิทยาลัยโลซาน ไกด์กิตติมศักดิ์ที่อาสาพาคณะตามรอยเบื้องพระยุคลบาทลัดเลาะไปตามสถานที่ต่างๆ รอบๆ ทะเลสาบเลมอง กล่าวว่า ส่วนใหญ่คนเก่าแก่ในเมืองโลซาน จะรู้จักเจ้านายเล็กๆ ที่มาจากประเทศสยามกันแทบทุกคน โดยเฉพาะพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชฯ เมื่อครั้งยังทรงพระเยาว์นั้น ทรงซุกซน และมีอัธยาศัยที่ดีกับทุกๆ คน ซึ่งก็เป็นไปตามความคาดหมายเมื่อขออนุญาตพูดคุยกับคุณยายอายุประมาณ 80-90 ปี ที่มาเดินเล่นภายในพิพิธภัณฑ์โอลิมปิคแห่งนี้ เธอคนนี้รู้จัก King of Siam เป็นอย่างดี อีกทั้งเธอยังเล่าว่า ในช่วงที่พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชฯ ทรงพระเยาว์นั้น ทรงมาวิ่งออกกำลังกายที่ริมทะเลสาบเลมอง ด้านหน้าพิพิธภัณฑ์เป็นประจำทุกวัน หรือไม่บางวันทรงมาหัดเล่นเรือใบ และเสด็จพระราชดำเนินพักผ่อนพระอิริยาบถภายในสวนสาธารณะที่ประชาชนคนไทยคุ้นชินกับภาพลิงสามตัวในสวนสาธารณะที่ปรากฏอยู่ในพระ ฉายาลักษ์เมื่อครั้งพระองค์ยังทรงพระเยาว์นั้นก็ยังไม่เปลี่ยนแปลง รวมถึงบรรยากาศรอบๆ ทะเลสาบเลมองในเวลานี้ เมื่อมองไปยังลู่ซ้อมวิ่งตามคำบอกเล่าของคุณยายสุดสายตา ช่างแทบไม่มีอะไรแตกต่างไปจากเดิม ยังมีไม้ดอกปลูกประดับอย่างสวยงาม มีหงส์ขาว และมีเป็ดลอยคอในน้ำ หลายๆ คนจึงถือโอกาสปล่อยอารมณ์ไปตามความรู้สึก และก็อดปลื้มปิติอยู่ในใจไม่ได้ว่า ช่างโชคดีเป็นนักหนาที่เมืองไทยมีพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชฯ ปกเกล้าปกกระหม่อม!!!! สำหรับสัปดาห์หน้าความทรงจำใต้เบื้องพระยุคลบาท ใน คอลัมน์ สะพายกล้องท่องโลก จะพาทุกคนไปสัมผัสกับสถานที่ต่างๆ ที่พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชฯ ที่พระองค์ทรงผูกพันนานนับสิบๆ ปี รอติดตามกันได้ !!!