“ตรีสุคนธ์” 087-1774200 เสด็จพระราชดำเนินบ้านผาหมี เชียงราย พระบรมฉายาลักษณ์ที่เห็นนี้ เป็นอีกหนึ่งพระราชกรณียกิจของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช ที่ได้เสด็จพระราชดำเนินทรงเยี่ยมราษฏรยังถิ่นทุรกันดาร ดังจะนำเรื่องเล่าของ พล.ต.อ วสิษฐ เดชกุญชร ครั้งดำรงตำแหน่ง นายตำรวจราชสำนักประจำ ซึ่งมีบันทึกไว้ใน “รอยพระยุคลบาท” มีว่า “ในวันที่ 7 มกราคม 2514 พระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร เสด็จฯโดยเฮลิคอปเตอร์จากพระตำหนักภูพิงคราชนิเวศน์ ไปทรงเยี่ยมราษฎรชาวเขาเผ่าเย้า ที่บ้านผาหมี ตำบลเหมือด อำเภอแม่สาย จังหวัดเชียงราย บ้านผาหมีนั้น ตั้งอยู่ริมทางหลวงหมายเลข 110 ตอนที่เชื่อมอำเภอแม่จันกับอำเภอแม่สาย อยู่ห่างตัวอำเภอแม่สายลงไปทางใต้ ไม่ไกลนักและอยู่ติดกับชายแดนไทย-พม่า ตามปกติการเดินทางเข้าไปยังบ้านผาหมี จะต้องกระทำโดยทางรถยนต์ ซึ่งแล่นเข้าไปจอดได้แต่เพียงที่เชิงเขา แล้วต้องเดินเท้าขึ้นเขาสูงชันไปอีกเป็นระยะทางไม่ไกล แต่ภูเขาอันเป็นที่ตั้งของบ้านผาหมีนั้นสูงชันมาก เมื่อดูแต่ไกลมีลักษณะเหมือนหมีตัวมหึมายืนอยู่ ซึ่งคงจะเป็นที่มาของชื่อหมู่บ้าน เพราะฉะนั้นการเดินขึ้นเขาไปยังบ้านผาหมีจึงเป็นการปีนเขาที่ท้าทายผู้ไปเยือนทุกคน เฮลิคอปเตอร์พระที่นั่งลงจอดที่ตัวหมู่บ้านไม่ได้ เพราะความชันของภูเขา ต้องลงจอดบนพื้นราบที่จัดถวายไว้ตรงเชิงเขา ราษฎรเจ้าของบ้านรู้อยู่แล้วว่าทางเดินขึ้นสูงชัน จึงจัดล่อเป็นพระราชพาหนะถวายพระเจ้าอยู่หัว พร้อมทูลกระหม่อมชาย และดูจะจัดเป็นพิเศษอีกตัวหนึ่งให้ท่านราชเลขาธิการ (หม่อมหลวง ทวีสันต์ ลดาวัลย์) ด้วย ที่เหลือนอกนั้นรวมทั้งนายตำรวจที่ตามเสด็จฯ ต้องเดินขึ้นไปยังหมู่บ้าน เช่นเดียวกับชาวเขาเจ้าของบ้าน บ้านผาหมีตั้งอยู่เกือบติดชายแดนไทย-พม่า นอกจากเย้าแล้ว อีกส่วนหนึ่งของดอยผาหมีเป็นที่อยู่ของชาวเขาอีกเผ่าหนึ่ง จะเป็นมูเซอหรือกะเหรี่ยงก็ลืมเสียแล้ว พระเจ้าอยู่หัวเสด็จฯขึ้นไปถึงแล้วก็ทรงพระกรุณาพระราชทานพันธุ์สัตว์ให้แก่ชาวเขา ทอดพระเนตรที่ทำกินของชาวเขา และพระราชทานคำแนะนำแก่ราษฎรและเจ้าหน้าที่ เสด็จพระราชดำเนินครั้งนั้น เป็นการเริ่มสัมพันธภาพอันยืนยาวระหว่างพระมหากษัตริย์กับราษฎรชาวเขาเผ่าเย้าที่ผาหมี ที่ว่าเป็นสัมพันธภาพอันยืนยาวก็เพราะหลายปีต่อมา ขณะที่ประทับแปรพระราชฐานอยู่ที่ไกลกังวล อำเภอหัวหิน จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ เย้าจากดอยผาหมีคนหนึ่งซึ่งพบเห็นได้เป็นประจำในการตามเสด็จฯเมื่อไปเยือนบ้านผาหมีครั้งแรก ได้เดินทางจากผาหมีไปจนถึงอำเภอหัวหิน เพื่อขอเฝ้าทูลละอองธุลีพระบาทกับถวายฎีกา และไม่ได้ไปตัวเปล่า แต่หอบแพะที่เลี้ยงอยู่บนดอยผาหมีลงไปขายด้วย อีกตอนหนึ่งในการเสด็จพระราชดำเนินบนภูเขาสูงชันแต่ละโอกาสนั้น พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงมีพระวรกายและพลานัยที่สมบูรณ์ยิ่ง เช่นที่ พล.ต.อ วสิษฐ์ เดชกุญชร มีบันทึกไว้... ในการปฏิบัติหน้าที่ราชการที่ผ่านมา (ผม)เคยเดินขึ้นเขาและรู้รสของความเหน็ดเหนื่อยอันเนื่องมาแต่การเดินขึ้นที่สูงชันมาแล้วหลายต่อหลายครั้ง แต่ไม่มีครั้งใดที่สาหัสเท่ากับวันที่ 13 มกราคม 2514 เมื่อตามเสด็จฯไปยังบ้านแม่สาใหม่ อำเภอแม่ริม จังหวัดเชียงใหม่ บ้านแม่สาใหม่เป็นหมู่บ้านม้ง เดิมตั้งอยู่เชิงเขา ต่อมาได้ย้ายหมู่บ้านขึ้นไปตั้งในที่สูงขึ้น เพื่อสะดวกแก่การทำมาหากินของชาวม้งที่แต่ก่อนปลูกฝิ่น เฮลิคอปเตอร์พระที่นั่งบินไปจอดลงในที่ที่เตรียมไว้ตรงเชิงเขา พอมองเห็นลาดเขาสูงและยาวอยู่เบื้องหน้า และรู้ว่ากำลังจะทรงพระดำเนินขึ้นไปยังหมู่บ้านแม่สาใหม่ ผมก็รู้แล้วว่ากำลังเผชิญวิกฤตการณ์ในการเดินเขาอีกครั้งหนึ่ง ผมขึ้นไปเดินอยู่เบื้องหน้าพระเจ้าอยู่หัวตามหน้าที่ พร้อมด้วยนายทหารราชองครักษ์อีกหลายท่านพวกเราก้าวขึ้นไปเรื่อยๆ โดยหันไปมองดูพระเจ้าอยู่หัวเป็นครั้งคราวตามหน้าที่ ในไม่ช้าทุกคนก็มีหน้าตาและท่าทางเหมือนแม่ไก่ที่กำลังจะออกไข่ คือหน้าแดงและปากอ้า ขาดแต่เสียงกระต๊าก มีก็แต่เสียงที่หอบแฮกๆแทน ขณะนั้นพระเจ้าอยู่หัวทรงพระดำเนินใกล้พวกเราเข้ามาเรื่อยๆ โดยมีท่านภีศเดช (หม่อมเจ้า ภีศเดช รัชนี) ทรงเดินตามไปอย่างใกล้ชิด ผมคะเนว่าเราคงเดินขึ้นไปได้ประมาณเขาลูกนั้น เมื่อผมรู้ว่าผมหมดกำลัง มองไปข้างหน้า ผมเห็นนายตำรวจเจ้าของพื้นที่ยืนโก่งคออยู่ข้างทาง หน้าเขียวและไม่ได้ร้องกระต๊าก แต่มีเสียงโอ้กเพราะกำลังอาเจียนอยู่ ผมหยุดและหันไปทาง พ.อ ดำรง สิกขะมณฑล นายทหารราชองครักษ์ประจำ ยศในขณะนั้น เป็นสัญญาณว่าหมดแรงแล้ว และขอให้ พ.อ ดำรง เดินต่อไป พ.อ ดำรง ส่ายหน้าเป็นสัญญาณว่าหมดแรงแล้วเหมือนกัน และหันไปพยักหน้าต่อให้ พ.อ เทียนชัย จั่นมุกดา หัวหน้าแผนกรักษาความปลอดภัยบุคคลสำคัญประจำกรมราชองครักษ์ ยศในขณะนั้น พ.อ เทียนชัย ก็ส่ายหน้าเป็นสัญญาณว่าหมดแรงแล้วเช่นเดียวกัน และไม่สามารถจะหันหน้าไปพยักหน้าให้ใครต่อใครได้อีก เพราะถัดจากท่านไปก็คือพระเจ้าอยู่หัว ขณะที่เรากำลังยืนถ่างขาหอบฟืดฟาดอยู่นั่นเอง พระเจ้าอยู่หัวก็ทรงพระดำเนินผ่านพวกเราขึ้นไป ทรงชำเลืองพระเนตรดูอาการอันน่าสมเพชของพวกเรา แล้วทรงก้าวช้าๆเนิบๆ ต่อไปโดยไม่อ้าพระโอษฐ์ มีท่านภีศเดช ทรงเดินตามเสด็จไปอย่างใกล้ชิด ยืนหอบอยู่สักครู่หนึ่ง พันเอกทั้งสองและผมก็รวบรวมกำลังได้พอจะเดินตามขึ้นไปจนทันพระเจ้าอยู่หัว เมื่อไปถึงนั้นพระเจ้าอยู่หัวทรงยืนอยู่พร้อมด้วยท่านภีศเดชและเจ้าหน้าที่อื่นๆ ทรงมีพระราชดำรัสกับพ.อ เทียนชัยว่าอย่างไรผมได้ยินไม่ถนัด รู้แต่ว่าไม่มีคำกราบบังคมทูลตอบอย่างใดจาก พ.อ เทียนชัย ขณะนั้นเอง เจ้าหน้าที่กองมหาดเล็ก ที่ยืนอยู่ใกล้ๆ ยื่นผ้าเช็ดหน้าส่งให้ พ.อ เทียนชัย เพื่อให้เช็ดน้ำลายที่กำลังฟูมออกมานอกปาก โดยที่เจ้าตัวคงไม่รู้สึก ผมได้ยินพระเจ้าอยู่หัวตรัสด้วยพระสุรเสียงแสดงพระเมตตาว่า อ้อ ยังพูดภาษาราชการไม่ได้” แม้วันเวลาจะผ่านไปนานถึง 45 ปี ประชาชนของพระองค์ก็ยังรำลึกและจดจำต่อพระมหากรุณาธิคุณอันล้นพ้นที่ทรงมีต่อประชาชนของพระองค์อย่างหาที่สุดมิได้ ************