นับถอยหลังเข้าไปทุกทีแล้ว สำหรับวาระ 4 ปี สมัยที่ 2 สำหรับการดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ของ "ประธานาธิบดีบารัก โอบามา" แห่งพรรคเดโมแครตผู้สร้างประวัติศาสตร์เป็นประธานาธิบดีผิวสีคนแรกของแผ่นดินพญาอินทรี โดยการส่งมอบตำแหน่งอย่างเป็นทางการให้ "นายโดนัลด์ ทรัมป์" ว่าที่ประธานาธิบดีคนใหม่จากพรรครีพับลิกัน ซึ่งเอาชนะการเลือกตั้งไปเมื่อต้นเดือน พ.ย. นั้น จะมีขึ้นในเดือน ม.ค. ปีหน้านี้ หลายคนบอกว่า สหรัฐฯ จะไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป เมื่อนายโดนัลด์ ทรัมป์ ก้าวเข้าสู่ทำเนียบขาว แต่วันนี้เราไม่ได้จะมาต่อความยาวสาวความยืดว่า ใครเป็นแฟนของทรัมป์ ใครเป็นแฟนของนางฮิลลารี คลินตัน เพราะเรื่องต่างๆ นั้นก็ได้มีการพูดถึงมาแล้วอย่างต่อเนื่องตลอดช่วงหลังวันเลือกตั้งที่ผ่านพ้นมา ทว่าด้วยความที่นายทรัมป์ จะเข้ามาแทนที่หนึ่งในประธานาธิบดีที่ดีที่สุดคนหนึ่งสำหรับคนในเจเนอเรชันนี้ (คนรุ่นที่เกิดก่อนอาจจะมีโอกาสได้ประสบพบประสบการณ์ช่วงเวลาของประธานาธิบดีที่จัดว่าใช้ได้คนอื่นๆ ด้วย) เพราะตลอด 8 ปี ที่ผ่านมาของประธานาธิบดีโอบามานับตั้งแต่สาบานตนเข้ารับตำแหน่ง ตอนนั้นถือเป็นช่วงเวลาที่เรียกว่า สหรัฐฯ อยู่ในภาวะไม่ค่อยจะโสภานัก หลัง 8 ปีของอดีตประธานาธิบดีจอร์จ ดับเบิลยู บุช แต่เขาก็ได้สร้างปรากฏการณ์ ภาพที่งดงามหลายอย่างไว้ให้คนสหรัฐฯ และประชาคมโลกได้จดจำ และเมื่อเขากำลังจะพ้นจากตำแหน่งไป นี่ก็เป็นสิ่งที่จะทำให้เราต้องคิดถึงชายผู้นี้ เริ่มจาก "สุนทรพจน์" ไม่ว่าคุณจะเป็นที่ชื่นชอบประธานาธิบดีคนที่ 44 คนนี้หรือไม่ แต่ก็ต้องยอมรับว่า ชายที่ชื่อบารก โอบามานั้น เป็นคนที่ฉลาดล้ำมีความสามารถ และมีทักษะการพูดต่อสาธารณชนอย่างดียิ่ง ไม่เพียงแต่การเขียนสุนทรพจน์เท่านั้น แต่เขาสามารถถ่ายทอดคำพูดเหล่านั้นออกไป อย่างจับใจคนฟัง ทุกครั้งที่ผู้นำสหรัฐฯ คนนี้เอื้อนเอ่ยวาจา ทุกสายตา และความสนใจของผู้ฟังล้วนแต่โฟกัสไปที่เขา ไม่เพียงเพราะเขาเป็นคนสำคัญ แต่เขาเป็นนักพูดที่เอาคนฟังได้อยู่หมัด และยังสามารถทำให้คนฟังรู้สึกได้ว่า ทุกความห่วงใยที่มีต่อประเทศของทุกคน เขาในฐานะผู้นำรับรู้สัมผัสได้ และไม่เคยมองข้าม โดยสุนทรพจน์ที่เขากล่าวต่อที่ประชุมใหญ่พรรคเดโมแครตที่ผ่านมา เมื่อเร็วๆ นี้ ถูกยกให้เป็นหนึ่งในสุนทรพจน์ของประธานาธิบดีที่ดีที่สุดตั้งแต่เคยมีมา นี่เป็นสิ่งหนึ่งที่เชื่อมั่นได้ว่า คงจะเป็นอะไรที่แตกต่างสำหรับประธานาธิดีคนใหม่ที่ชื่อโดนัลด์ ทรัมป์ โดยเฉพาะเมื่อตลอดการหาเสียงของนายทรัมป์นั้นเขาใช้วิธีปลูกฝังความกลัว สร้างความกังวลถึงความไม่ปลอดภัยลงไปในสมองของประชาชนสหรัฐฯ เสมอมา "การควบคุมอารมณ์" นี่คือสิ่งที่ชัดเจนเสมอมาไม่ว่าจะเป็นเวลาที่ประธานาธิบดีโอบามาพูด เวลาที่เขาอยู่ในงานทางการ หรือแม้แต่ยามที่เดินอยู่ริมถนน เราไม่เคยเห็นตอนไหนเลยที่เขาจะทำลายเสน่ห์ตามธรรมชาติที่สวยงามที่เขามี ตลอด 8 ปีที่ผ่านมา แม้ว่าจะต้องเผชิญกับสถาวะกดดัน หรือถูกยิงคำถามที่ยาก ฟังแล้วขัดใจขนาดไหน แต่เขาก็ไม่เคย "น็อตหลุด" ต่อหน้าสาธารณชน เขาจะแสดงความอ่อนโยนอย่างถูกเวลา และแสดงความแข็งกร้าวเมื่อถึงคราวต้องใช้ แต่ความแข็งกร้าวนั้น ไม่ใช่แบบของความก้าวร้าว เราไม่รู้ว่าแท้จริงแล้ว ประธานาธิบดีโอบามาข่มความไม่พอใจที่พร้อมจะระเบิดโทสะเอาไว้ขนาดไหน แต่เชื่อว่าด้วยสถานะ หน้าที่ของประธานาธิบดีสหรัฐฯ คงไม่น้อยแน่ หากแต่อย่างที่ว่า ไม่เคยมีข่าวทำนองว่า ประธานาธิบดีโวย วีน หรือเหวี่ยง แต่กลับดูสงบอยู่เสมอ นี่เป็นสิ่งที่คนไม่คิดว่า ประธานาธิบดีคนต่อไปอย่างนายโดนัลด์ ทรัมป์ จะสามารถนิ่งสงบสยบความเคลื่อนไหวได้เท่าประธานาธิบดีโอบามา เพราะเขาขึ้นชื่อเป็นอย่างดีถึงความเป็นคนเจ้าอารมณ์ และไม่สามารถควบคุมความโกรธได้ อย่างน้อยก็ในระดับที่สาธารณชนต้องการจะเห็นการแสดงออกถึงวุฒิภาวะจากคนที่เป็นผู้นำประเทศมหาอำนาจ อย่างน้อยนายทรัมป์ก็ได้แสดงออกให้เห็นมาแล้ว จากการทวิตข้อความผ่านทวิตเตอร์ในช่วงที่ผ่านมา ดังนั้น 4 ปีหลังจากนี้ อุณหภูมิในทำเนียบขาวคงจะเดี๋ยวหนาวเดี๋ยวร้อน ส่วนสื่อก็คงมีเรื่องให้ละเลงกันสนุกปากสนุกมือทีเดียว ว่าด้วยเรื่อง "อารมณ์ขัน" ถัดจากรอบยิ้ม และบุคคลิกที่ดูสงบนิ่งของประธานาธิบดีโอบามา เขากลับเป็นผู้นำที่มากไปด้วยอารมณ์ขันอย่างเป็นธรรมชาติ ซึ่งพร้อมจะทำให้บรรยากาศโดยรอบ และคนที่อยู่รอบกายผ่อนคลาย บ่อยครั้งที่เขาเพิกเฉยต่อคำวิจารณ์ด้านลบที่ผู้คนมีต่อตัวเขา และนำมันมาทำเป็นเรื่องตลกแทน นั่นไม่เพียงทำให้สถานการณ์ไม่เลวร้ายลงเพราะเพิ่มดีกรีความขัดแย้ง หากแต่เป็นคนจัดการอย่างชาญฉลาดในการทำให้คำวิจารณ์เหล่านั้นกลายเป็นเรื่องไร้สาระไป เหตุการณ์ที่แสดงให้เห็นจุดเด่นของประธานาธิบดีโอบามามากที่สุดในเรื่องนี้คือ ในงานเลี้ยงอาหารเย็นผู้สื่อข่าว เขาทำให้ตัวเองเป็นตัวโจ๊คโดยไม่ห่วงภาพลักษณ์ แต่นั่นกลับทำให้ได้มาซึ่งบรรยากาศของความสัมพันธ์ที่ดี ซึ่งนี่ห่างไกลจากคาแรคเตอร์ที่เราได้เห็นจากนายโดนัลด์ ทรัมป์ เสียเหลือเกิน ที่ว่าต่างไม่ใช่นายทรัมป์ไม่ตลก แต่คนขำนายทรัมป์เพราะเขาน่าขัน หาใช่ความตั้งใจสร้างอารมณ์ขัน ประธานาธิบดีโอบามา เป็นหนึ่งในผู้นำที่ส่งเสริม "ความเท่าเทียมกัน" ในระหว่างการดำรงตำแหน่งประธานาธิบดี หรือแม้แต่ในนามส่วนตัว นายโอบามาชัดเจนในเรื่องการผลักดันสิทธิที่เท่าเทียมกัน และการเปิดโอกาสให้ทุกคนทุกกลุ่มมีส่วนร่วม ส่วนหนึ่งอาจจะเป็นไปได้ เพราะความที่ตัวเองก็มาจากกลุ่มคนที่ถูกมองว่าแตกต่าง ถูกเลือกปฏิบัติ ในฐานะคนผิวสี หากไม่ได้เป็นคนผิวสีที่เป็นปัญญาชน ซึ่งมาได้ไกลสร้างประวัติศาสตร์ถึงขนาดเข้ามานั่งในทำเนียบขาวแล้ว ต้องยอมรับว่าสังคมสหรัฐฯ ที่ว่าเสรี เท่าเทียม ก็มีการแบ่งแยก และดูถูกดูแคลนเรื่องเชื้อชาติกันอย่างรุนแรง เช่นเดียวกับกลุ่มบุคคลที่มีความหลากหลายทางเพศ ประธานาธิบดีโอบามาก็เป็นตัวตั้งตัวตีในการผลักดันสิทธิในการมีที่ยืนอย่างเท่าเทียมกันในสังคมโลกให้แก่คนกลุ่มนี้ ประเด็นนี้เป็นสิ่งที่คนกังวลอย่างมากในกรณีของนายทรัมป์ อย่างที่รู้นายทรัมป์เป็นคนขาวที่เป็นคนส่วนใหญ่ในสังคม เขาได้แสดงออกหลายต่อหลายหน ถึงการสร้างความแตกแยก แบ่งแยกบนความหลากหลายที่มีของชาติพันธุ์ในสหรัฐฯ แต่นั่นก็อีกเพราะวิธีการที่เขาใช้หาเสียงจนชนะเลือกตั้งคือการสร้างความกลัว โดยการจะทำได้นั้นต้องมีตัวร้าย และคนที่จะมารับบทตัวร้ายของนายทรัมป์ก็อย่างที่เห็น เขาอ้างถึงชาวมุสลิมว่าเป็นภัยคุกคาม พูดถึงผู้อพยพเชื้อสายแม็กซิกันที่เข้ามาแย่งงานคนสหรัฐฯ อีกอย่างหนึ่งที่เราจะไม่ได้เห็นอีกแล้วในทำเนียบขาวก็คือ เงาของ "มิเชลล์ โอบามา" ผู้เป็นภริยา รวมทั้ง "มาเลีย และชาช่า" ลูกสาวของทั้งคู่ ตลอด 2 เทอมของนายโอบามา เราได้เห็นความสวยงามของชีวิตสมรสของครอบครัวหมายหนึ่ง การเจริญเติบโตจากเด็กน้อย เป็นเด็กสาวของลูกสาวหัวแก้วหัวแหวนของคนสองคน ซึ่งแสดงให้เห็นความสำเร็จของชายคนหนึ่งที่ทำหน้าที่ผู้นำประเทศ สามี และพ่อได้อย่างไม่ขาดตกบกพร่อง มันคงจะแปลกตาไม่น้อยที่จะไม่ได้เห็นมิเชล์ มาเลีย และชาช่าที่ทำเนียบขาวอีกแล้ว คำถามก็คือสุภาพสตรีหมายเลขหนึ่งคนใหม่ และลูกๆ ของว่าที่ประธานาธิบดีหล่ะ ก็เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา เพิ่งจะมีข่าวว่า "เมลาเนีย ทรัมป์" ภรรยาคนปัจจุบัน จากการสมรสครั้งที่ 3ของนายโดนัลด์ ทรัมป์ เปิดเผยว่า เธอและบารอน ทรัมป์ ลูกชายวัย 10 ปี จะยังไม่ย้ายเข้าไปอยู่ที่ทำเนียบขาวทันทีที่สามีรับตำแหน่งในเดือน ม.ค. นี้ โดยจะยังคงพำนักอยู่ที่ทรัมป์ ทาวเวอร์ ในมหานครนิวยอร์กไปก่อน เนื่องจากเหตุผลเรื่องการศึกษาของลูกชาย กระนั้นก็จะปฏิบัติหน้าที่สุภาพสตรีหมายเลขหนึ่งไม่ให้ขาดตกบกพร่อง ก่อนที่จะย้ายไปในอีก 7 เดือนข้างหน้า