จากกรณีกรมสอบสวนคดีพิเศษดำเนินคดีเกี่ยวกับรถยนต์เบนซ์โบราณ ทะเบียน ขม 99 กรุงเทพมหานคร โดยดีเอสไอส่งสำนวนให้พนักงานอัยการดำเนินคดีข้อหาเลี่ยงภาษีนำเข้ารถยนต์เบนซ์โบราณ ทะบียน ขม 99 กรุงเทพมหานคร กับ นายพิชัย วีระสิทธิกุล เจ้าของอู่รถที่ประกอบรถเบนซ์ พระมหาศาสนมุนี หรือหลวงพี่แป๊ะ เลขานุการสมเด็จช่วง และผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดปากน้ำฯ และพวกอีก 7 คนที่อยู่ในขบวนการนำเข้า จดประกอบ และปลอมแปลงเอกสาร ขณะที่สมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์ (ช่วง วรปุญญมหาเถร ป.ธ.9) เจ้าอาวาสวัดปากน้ำภาษีเจริญ มีชื่อครอบครองแต่ไม่มีส่วนรู้เห็น พนักงานสอบาวนดีเอสไอเลยไม่ดำเนินคดี กระทั่งพนักงานอัยการมีคำสั่งให้เลื่อนการนัดสั่งคดีออกไปเป็นวันที่ 19 ธ.ค. เนื่องจากก่อนหน้านี้ทางอัยการมีคำสั่งให้พนักงานสอบสวนดีเอสไอสอบสวนเพิ่มเติมในบางประเด็น ล่าสุดเมื่อวันที่ 21 ธ.ค. ผู้สื่อข่าวรายว่า ประเด็นที่พนักงานอัยการสั่งให้ดีเอสไอสอบเพิ่มคือ 1.การนำรถยนต์แบบนำเข้าทั้งคัน 2.กับแบบแยกชิ้นส่วนเข้ามา ระเบียบการนำเข้า และการคิดภาษีแตกต่างกันอย่างไร และมูลค่าที่แท้จริงของรถเบนซ์ โบราณ ดังกล่าวเท่าไหร่ โดนต้องเป็นคำให้การจากเจ้าหน้าที่ศุลกากร ซึ่งขณะนี้พนักงานสอบสวนดีเอสไอได้ส่งหนังสือเชิญ อธิบดีศุลกากร หรือผู้แทนมาให้ปากคำไป 2 ฉบับแล้ว แต่ยังไม่มีหนังสือตอบกลับมาจากทางศุลกากร ว่าจะส่งใครมาให้ปากคำตามประเด็นที่ขอสอบสวนเพิ่ม จึงทำให้ไม่สามารถรวบรวมสำนวนส่งทันที่อัยการนัดวันที่ 19 ธ.ค.ที่ผ่านมา ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำหรับคดีนี้ ดีเอสไอ สรุปความเห็นควรสั่งฟ้อง โดยกล่าวหา นายพิชัย วีระสิทธิกุล เจ้าของอู่รถ ผู้ต้องหาที่ 1 ,ห้างหุ้นส่วนจำกัด ซี.ที.ออโต้พาร์ท โดยนายวสุ จิตติพัฒนกุลชัย ผู้ต้องหาที่ 2 ,นายวสุ จิตติพัฒนกุลชัย ผู้ต้องหาที่ 3 ,นายเกษม หรืออ๊อด ภวังคนันท์ หุ้นส่วนผู้จัดการ หจก.อ๊อด 89 เอ็นเตอร์ไพร์ส (ประเทศไทย) ซึ่งนำเข้าชิ้นส่วนรถโบราณ ผู้ต้องหาที่ 4 ,นายเมธีนันท์ หรือชลัช นิติฐิติวงษ์ ผู้ดำเนินการนำเอกสารชุดประกอบรถยนต์ไปชำระภาษีสรรพสามิต ผู้ต้องหาที่ 5 , นายสมนึก บุญประไพ ผู้นำเอกสารรถยื่นกรมขนส่ง ผู้ต้องหาที่ 6 และพระมหาศาสนมุนี หรือหลวงพี่แป๊ะ เลขานุการสมเด็จช่วงและผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดปากน้ำฯ ผู้ต้องหาที่ 7 ในความผิด 6 ข้อหา ตาม พ.ร.บ.ศุลกากร พ.ศ.2469 มาตรา 27 , 27 ทวิ , พ.ร.บ.ภาษีสรรพาสามิต พ.ศ .2527 มาตรา 161,165 ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 137,265,267 ,268