เมื่อเวลา 15.30 น. วันที่ 23 ธ.ค.59 ที่สน.หัวหมาก พล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธ์ม่วง นายกสมาคมฟุตบอลแห่งประเทศไทย พร้อมด้วย พล.ต.ท.ศานิตย์ มหถาวร ผบช.น. พล.ต.ต.นันทชาติ ศุภมงคล ผบก.น.4 พ.ต.อ.มานพ น่วมลิวงศ์ รอง ผบก.น.4 พ.ต.อ.ศรายุทธ จุณณวัตต์ ผกก.สน.หัวหมาก ร่วมกันประชุมเพื่อติดตามความคืบหน้าคดีและมอบรางวัลให้กับเจ้าหน้าที่ตำรวจชุดสืบสวนหรือที่สามารถออกหมายจับผู้ร่วมก่อเหตุได้ พล.ต.อ.สมยศ กล่าวว่า ขอขอบคุณเจ้าหน้าที่ทุกคนที่ได้ติดตามสืบสวนจับกุมผู้ก่อเหตุ ตนในฐานะอดีตผู้บังคับบัญชาขอชื่นชมและในวันนี้ตนได้มามอบรางวัลให้กับชุดจับกุมหลังจากที่เคยบอกไว้ว่าจะให้รางวัลกับผู้ที่แจ้งเบาะแสคนละ 30,000 บาท ทั้งนี้หลังจากพนักงานสอบสวนได้ออกหมายจับจำนวนทั้งสิ้น 11 หมายจับ ตนจึงมามอบรางวัลจำนวน 300,000บาท ตามที่ได้กล่าวไว้ อย่างไรก็ตามสำหรับบุคคลเหล่านั้นตนถือว่าไม่ได้สร้างประโยชน์ให้กับประเทศทั้งที่รู้ว่าจะเกิดผลกระทบแต่ก็ยังเจตนาที่จะทำถือว่าเป็นเรื่องที่ไม่ควรเกิดขึ้น สำหรับมาตรการลงโทษของทางสมาคมที่มีต่อกลุ่มดังกล่าวนั้นทางสมาคมจะยึดตั๋วฟุตบอลโซนดังกล่าวโดยจะนำไปแจกให้กับเด็กและเยาวชน ที่ด้อยโอกาส จะยกเลิกไม่ให้กลุ่มดังกล่าวเข้าเชียร์ฟุตบอลไม่ให้มีที่ยืนอยู่ข้างสนามอีกต่อไป เพราะตนถือว่ากองเชียร์ใดที่ไม่อยู่ในกติกาถือว่าเป็นเนื้อร้าย อย่างไรก็ตามขณะนี้ยังไม่มีหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกำหนดบทลงโทษทีมชาติไทย แต่ที่ผ่านมาพบว่าหากเกิดเหตุการณ์ในลักษณะนี้จะมีโทษปรับหรือลงโทษโดยให้เล่นในสนามกลางตลอดจนห้ามไม่ให้เข้าแข่งขันในรายการต่างๆ นอกจากนี้ ที่ประชุมสมาคมได้มอบหมายให้ฝ่ายกฎหมายเตรียมเข้าแจ้งความกับพนักงานสอบสวนหากพบว่ามีข้อหาใดที่ต้องให้ทางสมาคมเข้าแจ้งความก่อน หรือกรณีที่สมาคมต้องถูกลงโทษให้ชดใช้ค่าปรับจากเอเอฟซี พล.ต.ท.ศานิตย์ กล่าวว่า เบื้องต้นได้จับกุมแหล่งขายจำนวน 2ราย และออกหมายจับตามภาพจำนวน 11 คนแล้ว ในจำนวนนี้รู้ชื่อเพิ่มแล้วจำนวนหลายคนกำลังให้พนักงานสอบสวนขออนุมัติเปลี่ยนหมายจับจากจับตามภาพเป็นขอหมายจับตามชื่อในทะเบียนราษฎร์ ในส่วนของผู้ต้องหาที่ถูกออกหมายจับไปแล้วได้ให้ชุดสืบสวนตามประกบอยู่ แต่ยังไม่สามารถเปิดเผยได้ว่าเป็นใคร ต้องตรวจสอบให้ชัดเจนว่าเป็นบุคคลที่ตรงกับหมายจับ และต้องตรวจสอบข้อเท็จจริงโดยการสอบปากคำก่อน อย่างไรก็ตามหากมีหลักฐานเชื่อมโยงพบว่าผู้กระทำผิดมีมากกว่า 11 คน ก็จะดำเนินการออกหมายจับเพิ่มอีก ต่อมาเวลา 16.00 น. นายประพจน์ โพธิ์ปาน สมาชิกกลุ่มอุลตร้าไทยแลนด์ หนึ่งในผู้ต้องหาที่ถูกออกหมายจับพร้อมทนายความ และกลุ่มแฟนบอลอุลตร้า ไทยแลนด์จำนวนหนึ่ง ได้เดินทางเข้าพบพนักงานสอบสวนสน.หัวหมาก โดยทางนายประพจน์ได้สวมเสื้อสีดำ คลุมด้วยสูทสีเทา สวมหน้ากากอนามัยและแว่นตาดำ เพื่ออำพรางปิดบังใบหน้า โดยไม่ได้ให้สัมภาษณ์กับผู้สื่อข่าว จากนั้นก็ได้เดินเข้าไปห้องสอบสวนโดยทันที ภายหลัง พล.ต.ท.ศานิตย์ ได้ทำการสอบปากคำนายประพจน์ ได้เดินออกมาให้สัมภาษณ์ว่า าเบื้องต้นผู้ต้องหายอมรับว่าเป็นผู้นำในการเชียร์เท่านั้น แต่ไม่มีส่วนในการจุดพลุ ส่วนรายละเอียดอยู่ระหว่างการสอบสวน ซึ่งต้องพนักงานสอบสวนทำการสอบปากคำก่อน ทั้งนี้ตนเคยได้พูดเอาไว้แล้วว่า การผู้ก่อเหตุดังกล่าวไม่ใช่อาชญากร เพียงแค่ทำในสิ่งที่กฏหมายไม่ให้ทำ และทำให้ภาพลักษณ์บ้านเมืองเสียหาย ดังนั้นอยากเตือนไปถึงกองเชียร์กลุ่มต่างๆว่า ขอให้เชียร์อยู่ในกรอบที่ถูกต้อง โดยหลังจากพูดคุยกันนายประพจน์ได้ยืนยันว่าจะยังเชียร์ต่อไปและรับปากว่าจะไม่เกิดขึ้นอีกแน่นอนล้านเปอร์เซ็นต์ ส่วนข้อหานั้นทางเจ้าหน้าที่อยู่ระหว่างสอบปากคำจะเป็นผู้ดำเนินการแจ้งข้อหาตามความผิดประมวลกฎหมายอาญา ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ทางนายประพจน์ ปานโพธิ์ทอง ได้พิมพ์หนังสือขอความเป็นธรรมแจกจ่ายให้สื่อมวลชนที่มาติดตามข่าว มีข้อความระบุว่า “ตามหมายเรียกที่อ้างถึงพนักงานสอบสวนสถานีตำรวจนครบาลหัวหมาก ได้มีหมายเรียกให้ข้าพเจ้าไปพบเพื่อสอบสวนปากคำ กรณีการจุดพลุแฟร์ภายในสนามราชมังคลากีฬาสถาน โดยให้ไปพบพนักงานสอบสวนในวันที่ 22 ธ.ค. เวลา 16.00 น. จ่อมาข้าพเจ้าได้มอบหมายให้ทนสยความโทรศัพท์แจ้งกับพนักงานสอบสวนที่เกี่ยวข้องเพื่อเลื่อนการเข้าพบ เนื่องจากตามวันเวลาที่นัดหมาย ข้าพเจ้าติดภารกิจที่ต่างจังหวัด โดยมีได้เจตนาที่จะหลีกเลี่ยงหรือมิให้ความร่วมมือกับพนักงานสอบสวนแต่อย่างใด โดยภายหลังเมื่อเกิดเหตุการณ์ ข้าพเจ้ากลับตกเป็นจำเลย ของสังคมโดยมีสื่อมวลชนบางแห่งกล่าวหาว่าเป็นแกนนำในการจุดพลุแฟร์และลงภาพถ่ายของข้าพเจ้าให้ปรากฎตามหน้าทีวีโทรทัศน์และหนังสือพิมพ์รายวัน รวมทั้งสื่อสังคมออนไลน์ ทำให้ได้รับความเสียหายต่อชื่อเสียง อาชีพการงานและวงศ์ตระกูล ดังนั้นข้าพเจ้าจึงขอชี้แจงรายละเอียดที่เกิดขึ้นพร้อมทั้งขอความเป็นธรรมกับพนักงานสอบสวนในการดำเนินคดีนี้อย่างเป็นธรรมโดยยึดหลักความถูกต้องไม่เอนเอียงไปตามกระแสข่าวที่เกิดขึ้น โดยขอชี้แจงข้อเท็จจริงตามลำดับดังต่อไปนี้ 1.วัตถุประสงค์ของกลุ่ม Ultras Thailand เกิดจากคนที่รักฟุตบอลทีมชาติไทย โดยมีแนวทาวการเชียร์ที่เสียวดัง กระตุ้น ปลุกเร้าอย่างเสียงดังตลอด 90 นาที มีการโบกธงตลอด 90 นาที มีป้ายผ้าให้กำลังใจ โดยมีแฟนบอลชาวไทยทั่วประเทศทุกสาขาอาชีพ ทุกอายุตั้งแต่เยาวชนถึงผู้สูงอายุ เข้าไปเชียร์ด้วยกันโดยมีสื่อกลางให้ข้อมูลเกี่ยวกับวันเวลาและสถานที่ในการแข่งขันผ่านทางเพจเพสบุ๊ค Ultras Thailad ตั้งแต่ปี 2555 เป็นต้นมา จนเริ่มมีสมาชิกจนถึงปัจจุบันที่ชอบแนวทางนี้ร่วมเชียร์ในสนามกว่า 1,000 คนในบางแมทช์การแข่งขัน และมีผู้กดติดตามในเพจเฟสบุ๊คมากกว่า 30,000 คน ซึ่งเมื่อพิจารณาในภาพรวมของกลุ่มแล้วจะเห็นได้ว่าเป็นกลุ่มที่สนับสนุนและให้กำลังใจทีมชาติไทยอย่างเหนียวแน่น ไม่ได้รวมตัวกันโดยมีเจตนาที่ไม่ดีต่อประเทศชาติแต่อย่างใด 2.อย่างไรก็ตามที่ผ่านมาปฎิเสธไม่ได้ว่ามีคนในกลุ่มบางคนได้มีการใช้พลุแฟร์และควันสีในการร่วมเชียร์ด้วย ซึ่งข้าพเจ้าไม่อาจทราบถึงการกระทำหรือห้ามปรามผู้ใดได้ โดยในการร่วมเชียร์กับทางกลุ่มข้าพเจ้าก็เป็นเพียงคนหนึ่งในการร่วมเชียร์ทีมชาติไทย ซึ่งข้าพเจ้าได้ทำหน้าที่เป็นเพียงผู้นำร้องเพลงเชียร์ของกลุ่มเท่านั้น ไม่เคยสนับสนุนให้ผู้ใดนำพลุแฟร์มาใช้ในการร่วมเชียร์ ทั้งยังเคยแจ้งเตือนแฟนบอลสมาชิกผ่านทางเฟสบุ๊คว่า "ทางกลุ่ม Ultras Thailand ไม่สนับสนุนการกระทำผิดกฎหมายทุกชนิดในราชอาณาจักรไทย" เพื่อสื่อสารทำความเข้าใจให้ทุกๆคนที่มาร่วมเชียร์ในกลุ่มได้รับทราบ ซึ่งที่ผ่านมาข้าพเจ้าและทางกลุ่ม Ultras Thailand ได้ช่วยกันดูแลสอดส่องไม่ให้มีการจุดพบุแฟร์ในสนามอย่าวดีที่สุดแล้ว การที่มีบุคคลใดนำพลุแฟร์เข้าไปจุดในสนามราชมังคบกีฬาสถานในวันเกิดเหตุ ข้าพเจ้าและทางกลุ่มไม่มีส่วนเกี่ยวข้องรู้เห็นหรือให้การสนับสนุนด้วย อีกทั้งยังไม่เคยมีเจตนาจะทำลายภาพบักษณ์หรือชื่อเสียงของประเทศชาติแต่อย่างใด จึงขอให้ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจทำการสืบสวนหาบุคคลผู้กระทำผิดมาลงโทษตามกฎหมายต่อไป”