ทรงสร้างประโยชน์สุขสู่ปวงประชา เสกสรร สิทธาคม [email protected] “น้ำคือชีวิต”พระราชดำริรัชกาลที่9 ที่เกิดประโยชน์สุขต่อประชาชนอย่างยั่งยืน(จบ) ดร.สุเมธ ตันติเวชกุล เลขาธิการมูลนิธิชัยพัฒนา ผู้ที่มีโอกาสรับใช้ใกล้ชิดเบื้องพระยุคลบาทพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชมาอย่างยาวนาน กล่าวว่า คงไม่มีใครปฎิเสธว่า สายน้ำ มีความสำคัญต่อชีวิตของเราอย่างไร โดยเฉพาะการร่วมแรงร่วมใจกันดำเนินการสนองพระมหากรุณาธิคุณบริหารจัดการน้ำให้ยั่งยืนเพื่อประโยชน์สุขของประชาชนถือว่าทุกภาคส่วนได้ร่วมกันเฉลิมพระเกียรติ ชีวิตของเรากับน้ำเสมือนเป็นสิ่งที่แยกจากกันไม่ได้ ความทุกข์ ความสุข ความผูกพันเกี่ยวเนื่องกับสายน้ำดั่งที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวพระราชดำรัสว่า “น้ำคือชีวิต” “ประสบการณ์ที่คนไทยได้รับมาโดยตลอดนั้นบ่งชี้แล้วว่า ถ้าไม่มีการบริหารจัดการน้ำที่ดีแล้ว ความทุกข์ ความสุข ความผูกพัน จะเกี่ยวพันกับจุดนี้ด้วย อย่างในปี 2554 น้ำมีมากเกินไปเราก็ทุกข์ในช่วงปีที่ผ่านมาถึงปีนี้เองน้ำมีน้อยเกินไปเราก็ทุกข์แล้วน่าจะก้าวข้ามไปถึงปีหน้าด้วยซ้ำตอนนี้ทุกท่านน่าจะเข้าใจคำว่าพอเพียงของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดชแล้ว ว่าทำอย่างไรที่จะทำให้สรรพสิ่งที่อยู่รอบตัวเราที่มีความสำคัญต่อชีวิตนั้นมีสภาพอย่างพอเพียงอยู่ตลอดเวลา ทุกสิ่งทุกอย่างที่เรียกว่าปัจจัย 4ที่มีความสำคัญต่อชีวิต อาหาร เครื่องนุ่งห่ม ที่อยู่อาศัยและยารักษาโรคนั้น เอาจริงๆแล้วถ้าขาดน้ำไป มันไม่มีเกิดแน่นอน เพราะนั่นเป็นพระราชภารกิจของประมุขของประเทศมาช้านาน ทุกพระองค์ให้ความสนพระทัยในเรื่องของน้ำจากหลักฐานต่างๆ” เลขาธิการมูลนิธิชัยพัฒนา กล่าวอีกว่า 70 ปีของการครองราชย์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่9ทรงงานหนักมาตั้งแต่สมัย หนุ่มๆ พระองค์ทรงทุ่มเทการทนงงานเท่าที่สิทธิอำนาจของพระองค์จะทำได้ ทรงพยายามฟื้นฟูประเทศให้มีความสงบสุขตามที่พระองค์เคยรับสั่งไว้ ซึ่งกว่า 70-80% ของโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ เป็นโครงการเกี่ยวกับแหล่งน้ำ เพราะน้ำเป็นต้นทุนของทุกสิ่งทุกอย่าง ถ้าดินดีแต่ไม่มีน้ำก็ไม่ดี ถ้าการปลูกป่าแล้วไม่มีน้ำเป็นพาหะ ก็ไม่สามารถทำให้ป่ากลับคืนฟื้นขึ้นมาได้ เพราะฉะนั้นทุกสิ่งทุกอย่างขึ้นอยู่กับน้ำทั้งสิ้น น้ำเป็นเรื่องสำคัญมาก “พระอัจริยภาพของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชเกี่ยวกับเรื่องของน้ำเป็นเรื่องที่น่าเรียนรู้มาก ผมได้มีโอกาสถวายงานพระองค์ท่านตั้งแต่พ.ศ.2524 ถวายงานโดยที่ไม่มีความรู้เรื่องอะไรเลย โชคดีในความไม่รู้เพราะเมื่อพระองค์ทรงทราบว่าเราไม่มีความรู้ด้านนี้ พระองค์ก็ทรงสอน ผมถือว่าผมเป็นศิษย์ก้นกุฎิของพระองค์ท่าน พระองค์สอนให้รู้จักธรรมชาติ สอนให้รู้จักใช้ธรรมชาติให้เป็นประโยชน์ สอนให้รู้จักน้ำ สนอให้รู้จักดิน สอนให้รู้จักป่า สอนให้รู้จักทุกสิ่งทุกอย่างที่เป็นปัจจัยในการดำรงชีวิต” ดร.สุเมธ กล่าวด้วยว่า ที่ผ่านมาถึงวันนี้คนไทยมักมองในหลวงรัชกาลที่9แบบปริมาณตลอดเวลา มองว่ามีโครงการพระราชดำริ4,000- 5,000 โครงการที่พระองค์พระราชทานขึ้น ซึ่งจริงๆแล้วทั้งหมดนั้นเป็นองค์ความรู้ วิธีการต่างๆ ที่ใช้ประยุกต์แก้ไข โครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริแต่ละโครงการก็จะมีองค์ความรู้ที่แตกต่างกันไป เพราะฉะนั้น4,000- 5,000 โครงการเป็นบทเรียนที่คนสมัยนี้ต้องเรียนรู้ “น้ำเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นจากธรรมชาติ ธรรมชาติเป็นสิ่งที่ไม่มีใครบังคับได้ต่อให้มีเทคโนยีสูงส่งอย่างไร ก็ไม่สามารถมีใครเอาชนะธรรมชาติได้ เราต้องทำความเข้าใจว่าจะบริหารจัดการน้ำอย่างไร น้ำยังมีอยู่แม้จะมาไม่ตรงช่วงเวลาแต่ยังคงมีอยู่ น้ำเหมือนเงินเดือนมาเดือนละครั้ง แต่เราต้องเก็บออมให้มีไว้ใช้ได้ทั้งเดือน ไม่ใช่ออกวันไหนใช้หมดวันนั้น เหมือนน้ำที่มาปีละ 3 เดือน อีก 9 เดือนเราต้องทำอย่างไรีให้มีน้ำไว้ใช้ จะเห็นได้ว่าพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดชมีพระราชดำริให้สร้างอ่างเก็บน้ำ ไม่ว่าจะเป็นขนาดใหญ่ เช่นเขื่อนภูมิพล เขื่อนต่างๆ พระองค์ ทรงชี้แนะไว้ ท่านทรงเป็นครูอยู่ที่นักเรียนว่าจะทำตามพระองค์ท่านหรือไม่ อย่างปี 2554 ที่เกิดน้ำท่วมครั้งใหญ่ที่ประเทศไทย จริงๆ แล้วพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดชทรงชี้แนะแนวทางไว้ตั้งแต่เมื่อ 17 ปีที่แล้ว แต่ไม่มีใครทำตาม เราก็ได้รับผลกระทบกันไป” ดร.สุเมธ กล่าว เป็นที่ประจักษ์ทั้งต่อสายตาคนไทยและชาวโลกถึงการที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดชทรงทุ่มเทพระวรกาย พระสติปัญญาความสามารถ และพระราชทรัพย์ส่วนพระองค์ ทรงปฏิบัติพระราชกรณียกิจนานัปการ ด้วยทรงมุ่งหวังตั้งพระราชปณิธานให้พสกนิกรชาวไทยมีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นมีความสุขอย่างยั่งยืนด้วยวิถีแห่งความพอเพียงบนพื้นฐานแห่งการมีส่วนร่วมกันในการบริหารจัดการอนุรักษ์ฟื้นฟูทรัพยากรธรรมชาติที่เป็นมรดกให้ทุกสรรพชีวิตทั้งคนทั้งสรรพสิ่งอยู่ร่วมกันอย่างมั่นคงยั่งยืนไม่เกิดภัยพิบัติร้ายแรงแก่กันและกันพึ่งพาอาศัยกันต่อไปตราบนานเท่านาน สืบสานพระราชปณิธานสนองพระเมตตาพระมหากรุณาธิคุณรวมพลังเดินตามรอยพระยุคลบาทให้สมดั่งที่ทรงทุ่มเทพระองค์ทรงเหน็ดเหนื่อยตรากตรำปฏิบัติพระราชกณียกิจมาอย่างต่อเนื่องตราบ 70 ปีแห่งการครองสิริราชย์สมบัติด้วยพระราชปณิธานที่จะทรงสร้างประโยชน์สุขแก่พสกนิกรไทยทุกคน ด้วยสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณในพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชพระผู้เสด็จสู่สวรรคาลัยเป็นล้นพ้นหาที่สุดมิได้