“ซูเปอร์โพล”เผยผลสำรวจประชาชนกลัวอุบัติเหตุตามท้องถนนช่วงเทศกาล สาเหตุเพราะคนขับไร้วินัย จี้รัฐเอาผิดคนเมาแล้วขับถูกลงโทษเท่าคดียาเสพติด เผย กระทรวงคมนาคม-ตำรวจ ประชาชนเห็นทำงานแก้ปัญหามากสุด ขณะที่นักวิชาการ แนะ กระตุกต่อมสำนึกคนขับรถให้มากที่สุดและภาครัฐทำงานกันอย่างยั่งยืน เมื่อวันที่ 29 ธ.ค.59 ดร.นพดล กรรณิกา ประธานชมรมขับเคลื่อนวิชาการเพื่อวิจัยความสุขชุมชน สำนักวิจัยซูเปอร์โพล (SUPER POLL) เปิดผลสำรวจ เรื่อง ความรู้สึกปลอดภัยบนถนนของประชาชนในช่วงเทศกาลปีใหม่พบว่า ประชาชนส่วนใหญ่หรือร้อยละ 93.7 เคยได้ยินข่าวการเกิดอุบัติเหตุบนท้องถนนค่อนข้างมากถึง มากที่สุด และร้อยละ 90.8 รู้สึกไม่ปลอดภัย ถึงแม้จะข้ามถนนบนทางม้าลาย ตามกฎหมาย ยิ่งไปกว่านั้น ร้อยละ 90.8 เช่นกัน ระบุว่า เมื่อข้ามถนนบนทางข้าม ตามกฎหมาย ก็ไม่รู้สึกปลอดภัย เพราะรถไม่ยอมหยุดให้ สัญญาณไฟให้คนข้ามเสียบ่อยๆ และเพราะไม่มีตำรวจอยู่ คนข้ามถนนคือคนจน เกิดอะไรขึ้น คนรวยถูก คนจนผิด ตลอด เป็นต้น อย่างไรก็ตาม ร้อยละ 90.2 ระบุ สาเหตุของการเกิดอุบัติเหตุบนถนน เป็นเรื่อง วิธีการป้องกันและแก้ปัญหาอุบัติเหตุที่ไม่มีประสิทธิภาพ มากกว่า เรื่อง เวรกรรม ซึ่งถือว่า เป็น การเปลี่ยนแปลงทัศนคติของประชาชนที่เคยพบเมื่อ ปี พ.ศ. 2552 ที่ประชาชนส่วนใหญ่เคยเชื่อว่า เป็น เรื่อง เวรกรรม มากกว่า ที่น่าพิจารณาคือ หน่วยงานที่ต้องทำงานหนักมากขึ้น เพื่อป้องกันและแก้ไขปัญหาอุบัติเหตุบนท้องถนน เป็น กระทรวงคมนาคม รองลงมาตำรวจ กระทรวงมหาดไทย และ กระทรวงสาธารณสุข ตามลำดับ และร้อยละ 89.0 ต้องการให้เพิ่มโทษเมาแล้วขับเท่ากับกฎหมายยาเสพติดเพราะอุบัติเหตุจาก เมาและขับ ทำให้สูญเสียชีวิตและทรัพย์สินจำนวนมาก นพ.ธนะพงศ์ จินวงษ์ ผู้จัดการศูนย์วิชาการเพื่อความปลอดภัยทางถนน (ศวปถ.) กล่าวว่า ผลสำรวจครั้งนี้ ชี้ให้เห็นว่า หน่วยงานที่เกี่ยวข้องจำเป็นต้นเร่งสื่อสารให้ผู้ขับขี่ตระหนักและทราบถึงความจำเป็นในการชะลอหรือหยุดรถให้คนเดินข้ามถนนเป็นเรื่องสำคัญโดยเจ้าหน้าที่รัฐผู้บังคับใช้กฎหมายต้องเข้มงวดกับยานพาหนะ นพ.ธนะพงศ์ กล่าวต่อว่า การที่ประชาชนเห็นว่า กระทรวงคมนาคมและตำรวจ เป็นหน่วยงานหลักแก้ปัญหาอุบัติเหตุบนถนน น่าจะเกิดจากประสบการณ์และการเห็นสาเหตุจากถนนและสิ่งแวดล้อมและยานพาหนะ ส่วนการที่ กระทรวงมหาดไทยไม่ถูกคาดหวังไว้สูง อาจเป็นเพราะใช้การแก้ปัญหาอุบัติเหตุเป็นเชิงเดี่ยว เช่น แก้เรื่องถนน บังคับใช้กฎหมาย ทั้งนี้ควรต้องปรับให้แยกระหว่างการป้องกัน และการดูแลรักษาที่กระทรวงสาธารณสุข ควรเข้ามาเกี่ยวข้องให้ยั่งยืน