เมื่อเวลา 09.00 น.วันที่ 7 ม.ค.60 พล.ต.อ.เฉลิมเกียรติ ศรีวราขาน รอง ผบ.ตร. และ พล.ต.ท.ศานิตย์ มหถาวร ผบช.น. ร่วมแถลงข่าวการจับกุมยาเสพติดรายใหญ่ จำนวน 2 คดี ดังนี้ คดีที่ 1 สน.ตลิ่งชัน บก.น.7ภายใต้การอำนวยการของ พ.ต.อ.ธีระพงษ์ วงษ์รัฐพิทักษ์ รรท.ผบก.น.๗ และ พ.ต.อ.ธนวรรธน์ ตาระกา ผกก.สน.ตลิ่งชัน เจ้าหน้าที่ชุดจับกุม โดยการนำของ พ.ต.ท.ธนโชติ ฤกษ์ดี รอง ผกก.ป.ฯ และ พ.ต.ท.รักษ์ชยุตม์ สายพร้อมญาติ สวป.ฯ ได้ร่วมกันทำการจับกุมตัว1. นายอภิลาภ หรือติ๊ก ศรีกระจ่าง อายุ 25 ปี อยู่บ้านเลขที่ 41/1 ม.3 ต.หลุมข้าม อ.โคกสำโรง จว.ลพบุรี พร้อมด้วยของกลาง 1. ยาไอซ์ชนิดเกล็ด สีขาวขุ่น บรรจุในถุงพลาสติกรูปใบชาเขียว จำนวน 5 ถุง น้ำหนักถุงละ 1 กิโลกรัม รวมน้ำหนัก 5 กิโลกรัม โดยกล่าวหาว่า “มียาเสพติดให้โทษประเภท 1 (ยาไอซ์หรือเมทแอมเฟตามีน) ไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายโดยผิดกฎหมาย”สถานที่จับกุม บริเวณสถานีขนส่งผู้โดยสารกรุงเทพพฤติการณ์กล่าวคือ เจ้าหน้าที่ชุดจับกุมได้ออกตรวจพื้นที่ บริเวณสถานีขนส่งผู้โดยสารกรุงเทพฯ พบ นายอภิลาภ ศรีกระจ่าง (ทราบชื่อภายหลัง) ท่าทางมีพิรุธ สะพายกระเป๋าสีส้มดำ เดินมาที่บริเวณสถานีขนส่งผู้โดยสารกรุงเทพ จึงได้ขอทำการตรวจค้นผลการตรวจค้นพบยาไอซ์ของกลาง จำนวน 5 กิโลกรัม ซุกซ่อนอยุ่ในกระเป๋าเป้แบบสะพายหลังสีส้มดำ จึงจับกุมและนำส่งพนักงานสอบสวน สน.ตลิ่งชัน จากการซักถามผู้ต้องหาให้การว่า เมื่อวันที่ 5 ม.ค.60 ผู้ต้องหาได้รับการติดต่อจากนายเอ็ม ไม่ทราบชื่อนามสกุลจริง อายุประมาณ 25 ปี อยู่แถว จ.นครสวรรค์ จากทางโทรศัพท์ ว่าให้ไปรับยาไอซ์ซึ่งบรรจุอยู่ในกระเป๋าเป้สะพายดังกล่าว ที่บริเวณริมถนนสายเอเซีย อ.บางประหัน จ.พระนครศรีอยุธยา จากนั้นจึงได้เดินทางกลับมาพักที่โรงแรมบริเวณ อ.บางประหันจ.อยุธยา โดยนายเอ็ม ได้นัดให้ผู้ต้องหาขนยาไอซ์ดังกล่าวไปส่งที่ จ.ชุมพร ในวันที่ 7 ม.ค.60 โดยเมื่อไปถึง บขส.ชุมพร แล้ว นายเอ็มจะติดต่อมาทางโทรศัพท์อีกครั้ง เมื่อไปถึงผู้ต้องหาจะได้รับค่าจ้าง จำนวน 50,000 บาท หลังจากนั้นได้เดินทางมาที่สถานีขนส่งผู้โดยสารกรุงเทพ แต่ถูกเจ้าที่ตำรวจตรวจค้นและจับกุมเสียก่อน คดีที่ 2 กก.สส.บก.8 ภายใต้การอำนวยการของ พ.ต.อ.สัมฤทธิ์ ตงเต๊า รรท.ผบก.น.8 และ พ.ต.อ.ประสงค์ อานมณี ผกก.สส.บก.น.8 เจ้าหน้าที่ชุดจับกุม โดยการนำของ พ.ต.ท.วิชัย สนสกุล, พ.ต.ท.เลิศศักดิ์ เขียมศักดิ์ และ พ.ต.ท.วาทิตย์ โรจน์ไพฑูรย์ รอง ผกก.ฯ และ เจ้าหน้าที่ตำรวจ กก.สส.บก.น.8 ได้ร่วมกันทำการจับกุมตัว 1. นายบุญฤทธิ์ หรือกบ เต๊าะแอ อายุ 24 ปี 2. นายจักรกฤษดิ์ หรือมัน มะลิวัลย์ อายุ 22 ปี พร้อมด้วยของกลาง 1. ยาบ้า 50,000 เม็ด 2. ยาไอซ์ จำนวน 4 ถุง น้ำหนักรวม 3.88 กิโลกรัม 3. กัญชา น้ำหนักรวม 178 กิโล 4. อาวุธปืนพกสั้น ขนาด .38 ยี่ห้อสมิท แอนด์ เวสสัน (ขนาด 3 นิ้ว) จำนวน 1 กระบอก 5. อาวุธปืนพกสั้น ขนาด .38 ยี่ห้อสมิท แอนด์ เวสสัน (ขนาด 2 นิ้ว) จำนวน 1 กระบอก 6. รถจักรยานยนต์ยี่ห้อฮอนด้า รุ่น PCX สีแดง ทะเบียน 3 กศ-1440 กทม. 1 คัน 7. เครื่องกระสุนปืน ขนาด .38 จำนวน 11 นัด และ 11 มม. จำนวน 35 นัด พร้อมด้วยโทรศัพท์มือถือ จำนวน 3 เครื่อง และ เครื่องชั่ง 2 เครื่อง โดยกล่าวหาว่า “ร่วมกันมียาเสพติดให้โทษประเภท 1 (ยาไอซ์หรือเมทแอมเฟตามีน) ไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายโดยผิดกฎหมาย และร่วมกันมียาเสพติดประเภท 5 ไว้ในความครอบครองเพื่อจำหน่ายโดยผิดกฎหมาย (นายบุญฤทธิ์ฯ และ นายจักรกฤษณ์ฯ) มีอาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืน ไว้ในความครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต (นายบุญฤทธิ์ฯ)”พฤติการณ์กล่าวคือ เจ้าหน้าที่ตำรวจสืบทราบว่า ผู้ต้องหาทั้งสองมีพฤติการณ์รับขนยาเสพติด บริเวณซอย โดยนาย บุญฤทธิ์ฯ รับคำสั่งซื้อ และนำของไปส่งให้กับ นายจักรกฤษณ์ฯ เป็นผู้ช่วยเดินส่งของ มีพฤติการณ์ใช้จักรยานยนต์ยี่ห้อฮอนด้า รุ่น PCX สีแดง (ของกลางลำดับที่ 6) เป็นยานพาหนะไปส่งของตามจุดที่ได้รับคำสั่งซื้อ การสืบสวนจับกุมคดีนี้ กก.สส.บก.น.8 เฝ้าติดตามผู้ต้องหาทั้ง 2 คน จนทราบว่าพักอยู่ที่บริเวณซอยพัฒนาการ 69 แขวง-เขต ประเวศ กรุงเทพฯ เมื่อทั้งสองเข้าบ้านไป ได้ดักรออยู่ที่บริเวณหน้าบ้านและสามารถจับกุมตัวผู้ต้องหาทั้งสองได้หน้าบ้านทันที ผลการตรวจค้นตัวผู้ต้องหาทั้งสองพบกัญชา 6 กิโลกรัม ยาบ้าหนึ่งมัดจำนวน 2,020 เม็ด สอบถามผู้ต้องหาทั้งสองรับว่ายังมียาเสพติดอยู่ภายในบ้านอีกจำนวนหนึ่งและได้พาเจ้าหน้าที่ตำรวจเข้าไปตรวจค้น พบของกลางเพิ่มเติมยาไอซ์ จำนวน 4 ถุง ยาบ้า จำนวน 55,400 เม็ด กัญชาอัดแท่ง จำนวน 165 กิโลกรัม อยู่ในชั้นล่างห้องนอนและภายในบ้านพัก ซึ่งเป็นบ้านเดี่ยวมีรั้วรอบมิดชิด ไม่มีผู้พักอาศัยมีเพียงผู้ต้องหามาเปิดห้องแล้วจะของกลางเพื่อไปส่งลูกค้า นอกจากนี้นายบุญญฤทธิ์ฯ ยังรับว่ามีกัญชากับอาวุธปืนอยู่ที่ ห้องเลขที่ 301 ซีเอส อพาร์ทเม้นท์ ซอยพัฒนเวศม์ 2 เขตวัฒนา กรุงเทพฯ อีกจำนวนหนึ่ง จึงได้พาเจ้าหน้าที่ตำรวจไปตรวจค้น จนสามารถตรวจยึดของกลางได้เพิ่มเติม หลังจากนั้นจึงได้นำตัวผู้ต้องหาทั้งสองส่งพนักงานสอบสวน บช.ปส. เพื่อดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป