“มาร์ค”เผย ตั้ง ปยป.ต้องตีโจทย์ความขัดแย้งให้ชัดเจน ย้ำพร้อมให้ความเห็นเวที “บิ๊กป้อม” ชี้ ลงนามให้สัตยาบันยุติความขัดแย้ง ทำได้ยาก แนะ อย่าเริ่มปรองดองจากศูนย์ วันที่ 19 ม.ค.นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ และอดีตนายกฯ กล่าวถึงกรณีที่รัฐบาลคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.)ตั้งคณะกรรมการปรองดอง(ป.ย.ป.) ว่า เป็นคณะกรรมการที่ทาง คสช.มีความจำเป็นต้องตั้งขึ้นมาเพื่อขับเคลื่อนประเด็นหลักๆ ในระยะสุดท้าย คสช. คงอยากจะเห็นมีความก้าวหน้าเป็นรูปธรรมก่อนที่จะมีการเลือกตั้ง ก็ต้องมีคนมาเป็นเจ้าภาพในการขับเคลื่อน ซึ่งตนทราบรายละเอียดน้อยมากว่า ข้อตกลงที่ว่านี้คือ เรื่องอะไร จึงต้องรอดูความชัดเจนก่อน ในส่วนของพรรคการเมืองและนักการเมืองนั้น ตนยอมรับว่านักการเมืองเป็นส่วนหนึ่งของปัญหา แต่ต้องตีโจทย์ให้ถูกว่า ความขัดแย้งนี้ ไม่ใช่ว่าคิดจะจับคู่ว่าเป็นพรรคนั้นขัดแย้งกับพรรคนี้ ตนยืนยันว่าเหตุการณ์บ้านเมืองที่ผ่านมา มันมีประเด็นของความขัดแย้งอยู่ ที่สำคัญคือ ถ้าคิดว่าคนที่อยู่ตรงนี้จะมาตกลงกันแล้วก็มีความพึงพอใจ เพราะว่าได้ประโยชน์อะไรจากข้อตกลง แล้วเรื่องราวมันจะจบกันไปนั้นคงไม่ใช่ เพราะสิ่งที่สำคัญคือ เราจะเดินหน้าประเทศให้มีความยั่งยืนในแง่ของการที่ไม่มีความขัดแย้งในระบบอย่างไร นายอภิสิทธิ์กล่าวต่อถึงกรณีที่พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.กระทรวงกลาโหม เตรียมหารือกับทุกพรรคการเมืองและฝ่ายต่างๆ เพื่อขอความคิดเกี่ยวกับแนวทางปรองดองว่า คงไม่ได้เรียกคุยพร้อมกัน แต่เป็นการรับฟังความเห็น ซึ่งตนยินดีให้ความเห็น ในการแก้ปัญหาความขัดแย้งและการสร้างความปรองดองว่าเป็นอย่างไร โดยจากนั้นกรรมการต้องพิจารณาเพื่อประมวลความเห็นแต่ละฝ่ายเพื่อดำเนินการต่อไป ซึ่งถือเป็นจุดเริ่มต้นที่ไปได้ แต่อย่าปักใจว่าต้องจบลงด้วยวิธีการรูปแบบไหนอย่างไร เช่น ที่พูดว่าจะมีการลงนามร่วมกัน ก็ขออย่ายึดติดตรงนั้น โดยอยากให้ การปรองดองเป็นเรื่องคิดถึงอนาคตมากกว่าอดีต คือ ต้องเรียนรู้จากอดีตเพื่อป้องกันปัญหาความรุนแรงในอนาคต เพราะความแตกต่างหรือความขัดแย้งไม่มีทางหมดไป ในสังคมที่มีความหลากหลาย แต่ต้องทำให้ความต่างทางความคิดหรือความขัดแย้งไม่นำไปสู่การใช้วิธีนอกกฎหมายหรือความรุนแรง โดยเฉพาะเทคโนโลยีการสื่อสารที่เปลี่ยนแปลงไป ต้องตามให้ทัน เช่นในอดีตวิทยุชุมชนอาจเป็นปัญหา แต่ยุคต่อไปเป็นอินเทอร์เน็ต ก็ต้องมองไปข้างหน้า และต้องสรุปบทเรียนให้ถูก อย่ามองว่าเป็นความขัดแย้งระหว่างบุคคลหรือระหว่างพรรคการเมือง เพราะรากฐานความขัดแย้งรอบล่าสุดเกิดจากกฎหมายนิรโทษกรรม ไม่ได้เกิดจากพรรคการเมืองทะเลาะกัน ถ้าสรุปผิดคิดว่าพรรคการเมืองทะเลาะกัน เอามาคุยกันเพื่อให้เลิกราต่อกันแล้วจะไม่มีความขัดแย้งในอนาคต ก็จะหลงทาง นายอภิสิทธิ์ กล่าวด้วยว่า การปรองดองอยากให้มองอนาคต ส่วนเรื่องอดีตก็ปล่อยให้กระบวนการยุติธรรมทำงานไป ยกเว้นคดีที่เกี่ยวข้องกับประชาชนที่มาชุมนุมแล้วทำผิดกฎหมายพิเศษ ควรจะนิรโทษกรรมไปเลย ส่วนกรณีอื่นๆ ให้กระบวนการยุติธรรมทำงานไป ซึ่งหากทำเช่นนี้ ก็จะได้ข้อยุติเกี่ยวกับข้อเท็จจริง ซึ่งจะได้ข้อสรุปว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเป็นอย่างไร และเป็นการยืนยันว่าการทำผิดกฎหมายหรือใช้ความรุนแรงต้องมีความรับผิดชอบ จากนั้นจะมีช่องทางอภัยโทษอย่างไร ก็มีหลักเกณฑ์อยู่แล้ว หากรัฐบาลทำด้วยเหตุผลแบบนี้ ก็มีทางที่จะประสบความสำเร็จ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์กล่าวต่อถึงกรณีที่พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ระบุว่า หลักจากพูดคุยแล้วจะให้มีการลงนามเพื่อเป็นข้อตกลงก่อนการเลือกตั้งนั้น ตนไม่ทราบว่า ข้อตกลงจะมีเนื้อหาอย่างไร แต่ย้ำว่าลำพังมีเอกสารและคนร่วมลงนามจะเป็นหลักประกันได้ยาก เพราะคนที่ไปลงนาม จะยืนยันได้อย่างไรว่าประชาชนที่เกี่ยวข้องจะเห็นเหมือนกับตนเอง แม้แต่พรรคการเมืองซึ่งในขณะนี้บอกว่าต้องปฏิรูปให้เป็นเรื่องขอสมาชิก แต่การจะให้หัวหน้าพรรคและผู้บริหารไปลงนามโดยต้องผูกมัดสมาชิกก็จะเป็นไปได้ยาก แต่ที่พูดเช่นนี้ไม่ได้มีเจตนาขัดขวาง แต่อยากให้ประสบผลสำเร็จ แต่ต้องไม่ยึดรูปแบบดังกล่าว เพราะจะทำให้ไม่สำเร็จ จึงอยากให้พูดถึงประเด็นที่อาจเกิดความขัดแย้งในอนาคตอย่างเปิดใจ แล้วสร้างบรรทัดฐานร่วมกันว่า การทำงานทางการเมืองจะทำอย่างไรไม่ให้ซ้ำรอยความขัดแย้งแบบเดิม ทั้งนี้ยืนยันว่าพร้อมให้ความร่วมมือ เพราะเข้าใจว่าเรื่องความปรองดองยังเป็นข้อกังวลใจของประชาชน และจะอยู่ในสถานการณ์พิเศษต่อไปเรื่อยๆ คงไม่ได้ จึงถือเป็นเรื่องที่ดีที่จะมีการคุยกัน แต่ต้องยอมรับว่าไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะสำเร็จ แต่ตนยินดีที่จะทำในสิ่งที่ไม่ผิดหลักการ“จะเอาเรื่องปรองดองไปผูกว่าต้องทำให้เสร็จก่อนการเลือกตั้ง โดยบอกว่าพรรคการเมืองอยากมีการเลือกตั้งก็ต้องมาจากการลงกันคงไม่ได้ เพราะต้องอยู่กับความถูกต้อง ผมคนหนึ่ง ถ้าบอกว่า ไม่ตกลงเลือกตั้งไม่ได้ แล้วจะให้ตกลงในสิ่งที่ไม่สมควร ผมก็ตกลงด้วยไม่ได้ จึงต้องว่าด้วยเหตุผล เอาประโยชน์ส่วนรวมเป็นที่ตั้ง ส่วนที่นายกฯห่วงใยว่าอะไรจะเป็นหลักประกันว่าเลือกตั้งจะไม่กลับมาตีกัน ผมอยากให้ย้อนกลับไปดู เพราะไม่ได้ตีกันจากผลการเลือกตั้ง ไม่ว่าจะเป็นปี2550 หรือปี 2554 แต่มีเงื่อนไขอื่นที่นำไปสู่ความขัดแย้ง ถ้าตีโจทย์ว่าขัดแย้งจากการเลือกตั้ง ก็จะไม่ตรงกันสถานการณ์ที่เกิดขึ้น เพราะแม้แต่ คสช. บางฝ่ายก็บอกว่าเป็นคู่ขัดแย้ง ทั้งที่ คสช.ก็ไม่ได้มาจากการเลือกตั้ง จึงอยากให้ทำความเข้าใจสิ่งเหล่านี้ก่อน มิเช่นนั้นจะหลงทาง” นายอภิสิทธิ์กล่าว หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์กล่าวต่อว่าควรรับฟังความเห็นจากทุกฝ่าย ไม่ใช่เฉพาะพรรคการเมืองหรือกลุ่มการเมือง จึงจะนำไปสู่การปรองดองได้ โดยไม่จำเป็นต้องเริ่มจากศูนย์ เพราะมีแนวทางการศึกษาเดิมที่สรุปและเสนอมาแล้ว แต่บางเรื่องไม่เป็นที่ยอมรับ จึงนำสิ่งเหล่านั้นมาวิเคราะห์และกำหนดหลักการแก้ไข โดยยึดแนวทางที่นายกรัฐมนตรีเคยพูดว่าจำเป็นที่จะต้องรักษาความศักดิ์สิทธิ์ของกฎหมาย ซึ่งจะทำให้ไม่หลงทาง ส่วนข้อเสนอปรองดองของคณะกรรมาธิการสภาขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ (สปท.) ด้านการเมือง ที่มีนานเสรี สุวรรณภานนท์ เป็นประธาน ที่มีแนวทางแก้ไขกฎหมายเพื่อยุติคดีทางการเมืองนั้น ตนได้คุยกับนายกษิต ภิรมย์ ซึ่งเป็น สปท. อยู่ด้วย ทราบว่ามี สปท. หลายคนไม่เห็นด้วยกับแนวทางนี้ พร้อมย้อนถามว่าจะเป็นนิรโทษกรรม 4.0 หรือ ซึ่งตนคิดว่าไม่ใช่ จึงอยากให้มองไปข้างหน้า อย่ากังวลกับเรื่องในอดีตแล้วคิดว่าจะทำให้บางคนพอใจ เพราะไม่ได้แก้ปัญหาสังคม แต่อาจจะสร้างปัญหาในอนาคต โดยต้องยึดประโยชน์ส่วนรวม อย่าไปให้น้ำหนักข้อเสนอที่เป็นประโยชน์เฉพาะกลุ่ม