"บิ๊กเสือ" นายสกล วรรณพงษ์ ผู้ว่าการการกีฬาแห่งประเทศไทย (กกท.) เปิดเผยถึงความคืบหน้าในการจัดการแข่งขันกีฬาเยาวชนแห่งชาติ ครั้งที่ 33 “ชุมพร-ระนองเกมส์” ระหว่างวันที่ 16-26 มีนาคม ว่า กกท.ได้เดินทางลงมาสำรวจสถานที่ สนามแข่งขัน และสนามฝึกซ้อมของทั้งชุมพร และระนองเป็นครั้งสุดท้าย เพื่อแนะนำให้กับคณะกรรมการเตรียมจัดการแข่งขันของ 2 จังหวัด โดยชุมพรจะจัดชิงชัย 32 ชนิดกีฬา ขณะที่ระนองจะจัดชิงชัย 15 ชนิดกีฬา ซึ่งถือว่าภาพรวมเป็นที่น่าพอใจ แต่อย่างไรก็ตาม กกท.อยากจะเชิญทั้ง 2 จังหวัดมาร่วมประชุมในเรื่องสิทธิประโยชน์ของการแข่งขัน วันที่ 31 มกราคมนี้ เพื่อให้คำแนะนำ และช่วยเหลือจังหวัดให้มากที่สุด ทั้งเรื่องสิทธิประโยชน์กลาง และท้องถิ่น นายสกลกล่าวอีกว่า หลังจากนั้นจะมีการจัดการประชุมอำนวยการ และจับสลากแบ่งสายการแข่งขัน วันที่ 15 กุมภาพันธ์ และจะประชุมคณะกรรมการอำนวยการ ที่ จ.ชุมพร อีกครั้ง วันที่ 15 มีนาคม ก่อนที่พิธีเปิดจะมีขึ้นที่สนามกีฬากลาง จ.ชุมพร วันที่ 16 มีนาคม โดยเจ้าภาพทั้ง 2 จังหวัดยังอุบไต๋เรื่องนักกีฬาที่จะเป็นผู้จุดไฟในกระถางคบเพลิงบนแท่นจำลองเรือรบกรมหลวงชุมพร แต่คาดว่าน่าจะเป็น “แนน” โสภิตา ธนสาร นักยกเหล็กสาวชุมพร ฮีโร่เหรียญทองกีฬาโอลิมปิกเกมส์ 2016 ที่ประเทศบราซิล และ“หญิง” สุธาสินี เสวตรบุตร นักเทเบิลเทนนิสสาวชาวระนอง เจ้าของเหรียญทองกีฬาซีเกมส์ ครั้งที่ 28 ที่ประเทศสิงคโปร์ เป็นผู้จุดไฟคบเพลิงร่วมกัน ผู้ว่าการ กกท.กล่าวเพิ่มเติมว่า กีฬาเยาวชนแห่งชาติครั้งนี้ กกท.จะเพิ่มสีสันให้การแข่งขันด้วยการจัดทีมงานออร์กาไนซ์มาจัดทำเป็น “สปอร์ต เอนเตอร์เทนเมนต์” ใน 6 ชนิดกีฬา ประกอบด้วย เทเบิลเทนนิส, ฟุตซอล, ยูโด, คาราเต้โด, เทควันโด และว่ายน้ำ โดยก่อนแข่งขันจะมีการเปิดตัวนักกีฬาด้วยแสงสีเสียง และมีพิธีกรแนะนำนักกีฬาให้เกิดความฮึกเหิม จนทำให้นักกีฬาลืมนึกถึงคู่แข่งขันไปเลย ซึ่งจะเพิ่มความเร้าใจสร้างสีสันให้เกมมีความน่าสนใจ และไม่ให้เกิดความเบื่อหน่าย “เราได้นำแนวคิดสปอร์ต เอนเตอร์เทนเมนต์นี้มาจากการแข่งขันกีฬาซีเกมส์ ครั้งที่ 28 ซึ่งเจ้าภาพสิงคโปร์ได้จัดแสงสีเสียงเปิดตัวนักกีฬาในชนิดกีฬาว่ายน้ำ, เทเบิลเทนนิส, ฟันดาบ และกีฬาอื่นๆ ทำให้เพิ่มอรรถรสให้การแข่งขันได้อย่างมาก โดยแนวคิดนี้จะเป็นการยกระดับกีฬาเยาวชนแห่งชาติให้มีความน่าสนใจยิ่งขึ้น ซึ่งหากประสบความสำเร็จใน 6 ชนิดกีฬาเหล่านี้ก็จะพยายามนำไปปรับใช้กับชนิดกีฬาอื่นๆ ทั้งที่แข่งขันในร่ม และกลางแจ้งต่อไปด้วย” บิ๊กเสือ กล่าว นายสกลกล่าวในตอนท้ายว่า ระนองว่ามีศักยภาพดีพอที่จะใช้เป็นสถานที่เก็บตัวฝึกซ้อมนักกีฬาทีมชาติไทย หรือนักกีฬาจากสมาคมกีฬาต่างๆ หลังล่าสุดได้สร้างศูนย์บริการออกกำลังกายเพื่อสุขภาพ มูลค่า 1.4 ล้านบาท ภายในสนามกีฬากลาง จ.ระนอง ซึ่งเป็นงบที่หน่วยงานในจังหวัดสรรหาด้วยน้ำพักน้ำเเรง โดยไม่ได้หยิบยืมจากส่วนกลางเลย ซึ่งศูนย์แห่งนี้จะมีเจ้าหน้าที่มาใช้งานในช่วงการแข่งขันกีฬาเยาวชนแห่งชาติ จากนั้นก็จะนำไปใช้ประโยชน์ต่อไปเป็นศูนย์สุขภาพ เเละวิทยาศาสตร์กีฬา ส่วนตัวยังมองว่ายังสามารถเป็นศูนย์ฝึกอบรม และศูนย์เเข่งขันกีฬาในร่ม ซึ่ง กกท. พร้อมจะสนับสนุนอุปกรณ์ เเละเครื่องมือที่จังหวัดต้องการตามเเผนพัฒนาการสร้างศูนย์ฝึกซ้อม ศูนย์เเข่งขันทั่วประเทศด้วย