คนใช้รถ หรือขับรถทุกวัน บางครั้งก็ต้องสังเกตอาการของรถให้ดี ยิ่งรถที่มีเลขไมล์เยอะๆ รถเก่า หรือรถมือสอง ยิ่งควรระวัง หมั่นสังเกตให้มากขึ้น และใช่ว่ารถใหม่จะไม่เป็น บางครั้งบางคราวมันก็อาจจะรวนขึ้นมาเองก็ได้ ซึ่งถ้าหากเกิด อาการผิดปกติ หรือเริ่มมีสัญญาณเตือน คุณควรจะรีบนำรถไปเช็ก หรือซ่อมทันที ไม่เช่นนั้นอาการที่เพิ่งเริ่มเกิด อาจลุกลามบานปลาย กลายเป็นเรื่องใหญ่ได้ แทนที่จะเสียเงินซ่อมแค่นิดหน่อย อาจจะได้ซ่อมแพงกว่าเดิม ดังนั้นเรามาดูอาการ และสัญญาณเตือนล่วงหน้าของรถคุณ ที่พยายามจะบอกให้คุณได้ทราบ ว่ามันเริ่มผิดปกติแล้วกันดีกว่า 1. พวงมาลัย หากมีอาการสั่น, หนักผิดปกติ, หรือหลวมเกินไป มีระยะฟรีเพิ่มขึ้น (อย่างน้อย 1 นิ้ว) ให้รีบนำไปเช็ก หรือซ่อม เพราะไม่อย่างนั้นอาจทำให้ลูกยางต่างๆ รวมไปถึงยางเฟืองท้ายเสียหายตามไปด้วย 2. เกียร์ หากมีเสียงดังขณะเข้าเกียร์ว่าง หรือเข้าเกียร์อื่นๆ, เปลี่ยนเกียร์ยากขึ้น ต้องขยับเพราะติดๆ ขัดๆ อยู่นาน, เหยียบคลัทช์เข้าเกียร์แล้วมีเสียงดัง, กระปุกน้ำมันเกียร์ หรือห้องเกียร์มีน้ำมันไหลออกมา 3. คลัทช์ หากเหยียบคลัทช์แล้วเข้าเกียร์ยากขึ้น, เหยียบแป้นคลัทช์แล้วมีเสียงดังผิดปกติ, คลัทช์ลื่น, เหยียบคลัทช์แล้วจมไม่เด้งกลับคืนมา, แป้นคลัทช์สั่นไปมา ขึ้นๆ ลงๆ 4. เบรก หากหยุดรถไม่อยู่, เบรกลื่น, เบรกแล้วรถปัดไปมาทางใดทางหนึ่ง, แป้นเบรกจมลงไปไม่เด้งกลับมา, เหยียบแป้นเบรกแล้วมีเสียงดัง 5. น้ำมันหล่อลื่นต่างๆ ทั้งน้ำมันเครื่อง น้ำมันเกียร์ น้ำมันเบรก น้ำมันคลัทช์ น้ำมันเพาเวอร์ หากมีสัญญาณเตือนขึ้นมาที่หน้าปัดรถยนต์ขณะขับขี่ ให้รีบขับรถไปที่อู่เพื่อตรวจเช็กตรวจหาสาเหตุ เพราะหากขับต่อไปเครื่องยนต์อาจเสียหาย เนื่องจากไม่มีน้ำมันพวกนี้หล่อลื่น แต่ถ้าอู่อยู่ไกลให้หาซื้อน้ำมันหล่อลื่นนั้นๆ มาเติมแก้ขัดไปก่อน แล้วจึงค่อยขับไปเข้าอู่อีกที 6. ยาง สังเกตดูที่ดอกยาง หากสึกหรอไม่เท่ากันอาจเป็นได้หลายสาเหตุ เช่น ดอกยางขอบล้อสึกหรอมากกว่าตรงกลาง (ยางรถมีลมอ่อนเกินไป), ดอกยางตรงกลางล้อสึกหรอมากกว่าขอบ (ยางรถมีลมแข็งเกินไป), ดอกยางสึกหรอข้างใดข้างหนึ่ง (มุมแนวตั้งของยางไม่ตรง), ดอกยางเป็นบั้งๆ (แนวของยางไม่ขนานกับแนวเคลื่อนที่ของรถ) หากเกิดเหตุการณ์ตามที่กล่าวมา หรือมีเหตุอื่นๆ ที่ไม่ปกติ คุณควรรีบไปจัดการแก้ไข ตรวจเช็ก และซ่อมแซมโดยทันที เพราะปัญหาเล็กๆ อาจลุกลามกลายเป็นเรื่องใหญ่โตได้