๑๓ ตุลาคม ๒๕๕๙ พสกนิกรทั่วประเทศและชาวไทยในต่างประเทศต่างร่ำไห้ เศร้าโศกเสียใจในการเสด็จสวรรคตของ “ในหลวง” รัชกาลที่ ๙ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ที่ทรงครองราชย์เป็นระยะเวลา ๗๐ ปี และแม้ว่าวันเวลาแห่งความสูญเสียครั้งยิ่งใหญ่ของประเทศไทยจะผ่านมานานกว่า ๓ เดือน จนกระทั่งมีการจัดงานครบ๑๐๐ วันในพิธีบำเพ็ญพระราชกุศลสตมวาร เมื่อวันที่ ๒๐ มกราคม ๒๕๖๐ แต่เชื่อได้ว่าในดวงใจของเหล่าพสกนิกรจำนวนมากในแผ่นดินไทย ก็ยังไม่หายหรือคลายความเศร้าโศกในความวิปโยคใหญ่หลวงของแผ่นดินที่เกิดขึ้น หลายคนได้เห็นและยังคงคิดถึงพระราชกรณียกิจของพระองค์ที่ตลอดระยะเวลา ๗๐ ปีที่พระองค์ทรงครองราชย์มาอย่างยาวนานนั้น ทรงสร้างความเจริญ สร้างความสุข ความสมบูรณ์ในหลายๆด้าน เพื่อชีวิตที่ดีขึ้นของปวงชนชาวไทย ซึ่ง ณ วันนี้คนไทยจำนวนมาก ต่างก็ได้เห็นและได้สัมผัสกับงานในพระราชภารกิจของพระองค์ในด้านต่างๆ จากสื่อมวลชนที่นำมาเผยแพร่ในทุกช่องทาง ทั้งในเรื่องของระบบนิเวศดิน ป่า หรือระบบนิเวศน้ำ ที่ล้วนมีความสำคัญต่อชีวิตและต่างเกี่ยวข้องสัมพันธ์กันเพื่อความอุดมสมบูรณ์ของทรัพยากรธรรมชาติ พลังงาน การศึกษา การกีฬา การดนตรี เทคโนโลยี ตลอดจนการทรงส่งเสริมและทรงสนับสนุนความรู้ในด้านการเกษตร และประการสำคัญ นั่นคือ ทรงมีพระราชดำรัสในเรื่องของ “เศรษฐกิจพอเพียง” ที่พระองค์ทรงนำแนวปรัชญาที่สำคัญนี้มาถ่ายทอดให้ราษฎรของพระองค์ได้นำไปปรับใช้ในชีวิตประจำวัน ทำให้ชีวิตของผู้คนจำนวนมากสามารถดำรงอยู่ได้ด้วยความเหมาะสมตามอัตภาพของครอบครัว มีกินมีใช้ไม่เดือดร้อน ทำให้พระองค์ได้รับการแซ่ซ้อง สรรเสริญ ยกย่องเทิดทูนจากทั้งในประเทศและนานาประเทศจำนวนมากว่าทรงเป็น “พระมหากษัตริย์นักพัฒนา” ที่ยิ่งใหญ่ของโลก ในปี พ.ศ.๒๕๐๕ ถือเป็นปีที่มีความสำคัญยิ่งในวงการอาหารของประเทศไทย โดยเฉพาะในเรื่องของ “นม” ซึ่งขณะนั้นถือได้ว่าเป็นเรื่องใหม่ในประเทศไทย ยังไม่มีการดื่มนมแพร่หลายเช่นปัจจุบัน ในปีนั้น พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ทรงให้การสนับสนุนการผลิตนมโคเพื่อการบริโภคภายในประเทศ ซึ่งจะทำให้ประชาชนชาวไทยมีโอกาสดื่มนมโคเพื่อเสริมสร้างสุขภาพที่ดีแก่ร่างกาย โดย นายธีรภัทร ประยูรสิทธิ ปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ได้กล่าวไว้เมื่อวันที่มีการแถลงข่าวการจัดงาน “ดื่มนม ชมฟาร์ม ตามรอยเท้าพ่อ” ในเทศกาลโคนมแห่งชาติ ณ สถานีรถไฟหัวลำโพง กทม.ท่ามกลางผู้สื่อข่าวและผู้สนใจเข้าจำนวนมากที่ร่วมเดินทางไปกับรถไฟเพื่อเยี่ยมชมฟาร์มโคนมไทย – เดนมาร์ค ที่ อ.มวกเหล็ก จ.สระบุรี ว่า “วันที่ ๑๖ มกราคม พ.ศ. ๒๕๐๕ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช (รัชกาลที่ ๙) และสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พร้อมด้วยพระเจ้าเฟรเดอริกที่ ๙ และพระราชินีอินกริด แห่งประเทศเดนมาร์คได้เสด็จพระราชดำเนินโดยรถไฟพระที่นั่งสายอีสาน เพื่อเสด็จเยี่ยมเยียนประชาชนและดำเนินพระราชกรณียกิจต่างๆในพื้นที่ รวมทั้งการทอดพระเนตรชีวิตความเป็นอยู่ของราษฎร ทั้งนี้ฟาร์มโคนมไทย – เดนมาร์ค เป็นสถานที่ที่พระองค์ได้เสด็จพระราชดำเนินเพื่อทรงเป็นประธานในพิธีเปิดฟาร์มโคนม และศูนย์ฝึกอบรมไทย – เดนมาร์ค ณ อำเภอมวกเหล็ก จังหวัดสระบุรี จึงถือได้ว่า อาชีพการเลี้ยงโคนม ได้ถือกำเนิดขึ้นเป็นครั้งแรกในประเทศไทย เพื่อให้ปวงชนชาวไทยมีอาชีพที่มั่นคง เป็นหลักแหล่ง และมีรายได้ที่สามารถเลี้ยงครอบครัวได้ เกิดอาชีพที่เกี่ยวข้องกันอีกมากมาย...” ดร.ณรงค์ฤทธิ์ วงศ์สุวรรณ ผู้อำนวยการองค์การส่งเสริมกิจการโคนมแห่งประเทศไทย (อ.ส.ค.) ได้กล่าวถึงการจัดตั้งฟาร์มโคนมไทย – เดนมาร์คตามพระราชดำริ เพิ่มเติมว่า “ ปี พ.ศ. ๒๕๐๓ เมื่อครั้งที่พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช (รัชกาลที่ ๙)และสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ เสด็จฯประพาสทวีปยุโรป พระองค์ทรงสนพระทัยในกิจการฟาร์มโคนมของชาวเดนมาร์คเป็นอย่างมาก ทรงเล็งเห็นว่าการเลี้ยงโคนมน่าจะเป็นอาชีพที่เกิดประโยชน์ต่อเกษตรกรไทยและคนไทยก็จะได้ดื่มนมที่มีคุณภาพและมีคุณค่าสูง เพื่อสร้างคุณภาพชีวิตที่ดีต่อไป ในเวลาต่อมาภายหลังที่เสด็จพระราชดำเนินนิวัติประเทศไทย รัฐบาลเดนมาร์คในขณะนั้นจึงได้ถวายโคนมตตามโครงการส่งเสริมการเลี้ยงโคนมเป็นของขวัญแด่ล้นเกล้าทั้งสองพระองค์ โดยดำเนินการจัดตั้งฟาร์มโคนมและศูนย์ฝึกอบรมการเลี้ยงโคนมไทย – เดนมาร์ค ขึ้นที่ อ.มวกเหล็ก จ.สระบุรี เพราะว่าสภาพภูมิประเทศและสภาพอากาศที่เย็นพอเหมาะ ทำให้มีความเหมาะสมในการเลี้ยงโคนมเป็นอย่างมาก ...” “ ในเวลาต่อมา คณะรัฐมนตรีได้กำหนดให้วันที่ ๑๗ มกราคม ของทุกปี เป็นวันโคนมแห่งชาติ ดังนั้นปีนี้ องค์การส่งเสริมกิจการโคนมแห่งประเทศไทย หรือ อ.ส.ค. ก็จะมีอายุครบ ๕๕ ปี เราจึงได้ร่วมกับการรถไฟแห่งประเทศไทยและการท่องเที่ยว จัดงานเพื่อร่วมรำลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณของพระองค์ที่ทำให้ประเทศไทยมีฟาร์มโคนมชั้นดีและมีแหล่งเรียนรู้ในการฝึกอบรมการเลี้ยงโคนมของประเทศ ทำให้เกิดอาชีพการเลี้ยงโคนมที่สร้างความมั่นคง สร้างสุขภาพที่ดีแก่ผู้บริโภค โดยใช้ชื่อว่า “ดื่มนม ชมฟาร์ม ตามรอยเท้าพ่อ” ซึ่งจัดขึ้นระหว่างวันที่ ๓๐ มกราคม – ๕ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๐ รวม ๗ วัน ทั้งนี้เมื่อวันที่ ๓๐ มกราคม ๒๕๖๐ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารี ได้เสด็จฯเป็นองค์ประธานเปิดงาน พร้อมทั้งเสด็จฯทอดพระเนตรนิทรรศการต่างๆภายในบริเวณงานจากหน่วยงานต่างๆมากมาย...” จากการร่วมชมกิจกรรมต่างๆขององค์การส่งเสริมกิจการโคนมแห่งประเทศไทย หรือ อ.ส.ค. ซึ่งปีนี้มีอายุครบ ๕๕ ปีในการก่อตั้ง มีโอกาสเห็นกิจกรรมต่างๆที่ได้ดำเนินตามรอยเท้าพ่อ ทั้งในเรื่องของการเลี้ยงโคนมพันธุ์ดีที่มีประสิทธิภาพ การปลูกหญ้าที่มีประโยชน์แก่การเจริญเติบโต การปลูกพืชต่างๆตลอดจนการใช้ประโยชน์จากสิ่งเหลือใช้ มีการนำเอาน้ำนมไม่ใช้มาทำเป็นปุ๋ยหมักชีวภาพ สามารถนำไปใช้ในการปลูกพืชภายในโครงการที่มีพื้นที่จำนวนไม่น้อย อันล้วนเป็นการน้อมนำหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงตามแนวพระราชดำริมาปรับใช้ในชีวิตประจำวันได้อย่างมีคุณค่าที่สุด รวมถึง มีบุคลากรที่พร้อมให้ความรู้แก่ผู้ไปเยี่ยมเยียน นี่คือ “รอยเท้าพ่อ” ที่ทรงประทับไว้ ได้เกิดประโยชน์แก่ราษฎรอย่างแท้จริง/ ทวีศักดิ์ สุขธงไชยกูล เรื่อง / ภาพ