"นายกฯ" เผยสัปดาห์หน้านัดถก คกก.ดิจิทัลวอลเล็ตชุดใหญ่ พร้อมเลื่อนเคาะเลขาฯสมช.คนใหม่ รอขั้นตอนกฎหมาย อุบโยกคนนอกข้ามห้วย ก้าวไกลวุ่น ส.ส.หญิงผิดหวังมติพรรคปมขับส.ส. คุกคามทางเพศ เรียกร้องอย่าขี้ขลาด แสดงสปิริตลาออกจากพรรค วุฒิพงศ์เปิดใจหลังถูกขับพ้นพรรค ลั่นอึดอัด ซัดพรรคตั้งตัวเป็นศาล 

     ที่ทำเนียบรัฐบาล เมื่อวันที่ 2 พ.ย.66 นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี และรมว.คลัง เป็นประธานการประชุม สภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) โดยมี นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และรมว.มหาดไทย นายสุทิน คลังแสง รมว.กลาโหม นายประเสริฐ จันทรรวงทอง รมว.ดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง รมว.ยุติธรรม นายกฤษฎา จีนะวิจารณะ  รมช.คลัง และตัวแทนหน่วยงานที่เกี่ยวเข้าร่วมการประชุม โดย นายฉัตรชัย บางชวด รองเลขาธิการ สมช.ในฐานะรักษาการเลขาธิการ สมช.ให้การต้อนรับ ทั้งนี้ ถือเป็นการประชุม สมช.ครั้งแรกของนายกฯ และใช้เวลาการประชุมเพียง 30 นาที
    
 จากนั้น นายเศรษฐา ให้สัมภาษณ์ถึงความคืบหน้าในการแต่งตั้งเลขาธิการ สมช.คนใหม่ ว่า ตอนนี้ยังไม่แต่งตั้ง เนื่องจากต้องรอขั้นตอนของกฎหมาย คงอีกประมาณ 10 วัน จึงจะเสนอที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ได้ เมื่อถามว่า ข้อกฎหมายนั้น คือการโอนย้ายใช่หรือไม่ นายเศรษฐา กล่าวว่า เอาไว้ก่อนแล้วกัน อย่าเพิ่งเลย เอาความเหมาะสมดีกว่า ยังไม่เหมาะสมที่จะพูด แต่ยืนยันว่าไม่มีปัญหาอะไร และทาง สมช.ก็ปฏิบัติงานได้อย่างเต็มสมรรถภาพอยู่แล้ว ไม่มีตกหล่นอยู่แล้วตรงนี้
   
  ผู้สื่อข่าวถามว่า จะเป็นคนนอก คนใน ก็ไม่มีปัญหาใช่หรือไม่ นายเศรษฐา ตอบว่า "ไม่มีครับ"  เมื่อถามย้ำว่า  ตอนนี้มีชื่อเดียวใช่หรือไม่ นายเศรษฐา(ยิ้ม) ไม่ตอบคำถามดังกล่าว เมื่อถามว่า ต้องให้กำลังใจคนในหรือไม่ ที่ยังไม่สามารถขึ้นได้เลย และอาจต้องนำคนนอกเข้ามาเป็นเลขาธิการ สมช.นั้น นายเศรษฐา กล่าวว่า ไม่มีปัญหาใดๆ ทั้งสิ้น รักษาการเลขาธิการ สมช.ก็พูดอยู่แล้ว วันนี้บรรยากาศเป็นไปด้วยความสุข เดี๋ยวท่านให้สัมภาษณ์อีกทีก็ได้ ถ้าไม่เชื่อก็ถามท่านดู
    
 นายเศรษฐา ยังได้ตอบข้อสักถามผู้สื่อข่าวถึง คำถามถึงการนัดประชุมคณะกรรมการนโยบายโครงการเติมเงิน 10,000 บาท ผ่านดิจิทัลวอตเล็ต ว่า ใกล้แล้วครับ ทันสัปดาห์หน้า 
    
 ด้าน นายนรินท์พงศ์ จินาภักดิ์ นายกสมาคมทนายความแห่งประเทศไทย ออกแถลงการณ์สมาคมทนายความแห่งประเทศไทย โดยระบุว่า คณะรัฐมนตรีได้แถลงนโยบายต่อรัฐสภา ก่อนการเข้าบริหารราชการแผ่นดินเมื่อวันที่ 11-12 ก.ย.66 อันเป็นไปตามที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญ มาตรา 162
    
 ตามคำแถลงนโยบายของคณะรัฐมนตรี ซึ่งปรากฏอยู่ที่หน้า 4 รัฐบาลได้กล่าวถึงนโยบายที่จะกระตุ้นเศรษฐกิจ กระตุ้นการใช้จ่าย โดยการเติมเงิน 10,000 บาท ผ่าน Digital Wallet เพื่อให้เกิดการจับจ่ายใช้สอยและเกิดการหมุนเวียนของกิจกรรมทางเศรษฐกิจ นโยบายดังกล่าวจึงเป็นนโยบายสาธารณะ (Public Policy) ที่ใช้จ่ายจากเงินแผ่นดิน
    
 แม้รัฐบาลจะมีอำนาจดำเนินนโยบายสาธารณะ ซึ่งเป็นไปตามนโยบายที่แถลงต่อรัฐสภาแล้วก็ตาม แต่เมื่อนโยบายดังกล่าวต้องจ่ายจากเงินแผ่นดิน จึงต้องปฏิบัติให้เป็นไปตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 140 กล่าวคือจะต้องตราขึ้นเป็นกฎหมายกำหนดหลักเกณฑ์และวิธีการใช้เงิน และต้องตั้งงบประมาณรายจ่ายชดใช้ในพระราชบัญญัติโอนงบประมาณ หรือพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายเพิ่มเติม หรือพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณถัดไป
   
  ดังนั้นรัฐบาลจึงมีทางเลือกเพียงสองทางคือ ออกเป็นพระราชบัญญัติกู้เงินที่ต้องใช้ในการเติมเงินให้ประชาชน ซึ่งสามารถดำเนินการได้ทันทีเพราะการวินิจฉัยว่าเป็นกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็นเร่งด่วนหรือไม่ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 172 วรรคสอง เป็นดุลพินิจของฝ่ายบริหาร ส่วนทางเลือกที่สองคือ เสนอโครงการเพื่อขออนุมัติวงเงินใช้จ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2567 (ถ้ามีเงินเหลือพอ) โดยออกเป็นพระราชบัญญัติ โอนงบประมาณรายจ่ายหรือออกเป็นพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายเพิ่มเติม หรือเสนอโครงการเพื่อใช้จ่ายจากงบประมาณประจำปี พ.ศ. 2568 ซึ่งจะเริ่มโครงการได้ก็ต้องรอให้รัฐสภาให้ความเห็นชอบอนุมัติการใช้จ่ายเงินตามพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายดังกล่าวก่อน
   
  ไทยเป็นสังคมนิติรัฐ (Legal State) หรือสังคมที่ยึดถือกฎหมายเป็นหลักในการปกครอง การดำเนินโครงการตามนโยบายของรัฐบาลเมื่อต้องจ่ายจากเงินแผ่นดินจึงต้องปฏิบัติตามกฎหมายอย่างเคร่งครัด รัฐบาลจึงมีทางเลือกเพียงสองทางที่จะใช้เงินเพื่อดำเนินโครงการดังกล่าว ส่วนจะดำเนินการโดยวิธีใดถือเป็นดุลพินิจของรัฐบาล แต่ควรแถลงให้ประชาชนทราบเพื่อไม่ให้เกิดความสับสนดังที่กำลังเกิดขึ้นอยู่ในขณะนี้
    
 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า จากกรณีเมื่อวันที่ 1 พ.ย.ที่ผ่านมา ที่ประชุมกรรมการบริหารและส.ส.ก้าวไกล มีมติขับ นายวุฒิพงศ์ ทองเหลา ส.ส.ปราจีนบุรี ออกจากสมาชิกพรรคก้าวไกล เพราะผิดวินัยร้ายแรง และนายไชยามพวาน มั่นเพียรจิตต์ ส.ส.กทม. ที่ประชุมออกเสียงไม่ถึง 3 ใน 4 ให้ขับพ้นสมาชิกพรรค จึงให้คาดโทษไว้ก่อน เพื่อให้มีการยอมรับผิด และขอโทษจากการกระทำ จากนั้นจะมีการพิจารณาต่อไป ทำให้ส.ส.หญิงของพรรคก้าวไกลหลายคนรับไม่ได้ที่พรรคมีมติแค่คาดโทษนายไชยามพวาน ต่างเปลี่ยนรูปโปร์ไฟล์เป็นสีดำนั้น
    
 น.ส.ภัสริน รามวงศ์ หรือกานต์ ส.ส.กทม. พรรคก้าวไกล โพสต์เฟซบุ๊กว่า จากกรณี ส.ส.พรรคก้าวไกลมีพฤติกรรมคุกคามทางเพศ กานต์ยืนยันเสมอว่าการคุกคามทางเพศไม่สามารถยอมรับได้ทุกกรณี เป็นการกระทำที่ไม่มีความรับผิดชอบและขาดการยั้งคิด ส่งผลกระทบเป็นวงกว้างทั้งต่อผู้เสียหายและบุคคลที่เกี่ยวข้อง ตลอดจนทำให้ประชาชนผิดหวังและกังขาต่อหลักการของพรรค
    
 เมื่อวานนี้ กานต์ได้แสดงจุดยืนในที่ประชุมพรรค ร่วมอภิปรายในที่ประชุมกว่า 6 ชั่วโมง ทำเต็มที่ในฐานะส.ส.หญิงที่ขับเคลื่อนเรื่องความเท่าเทียมทางเพศ ไม่อดกลั้นต่อการกระทำความผิด ใช้สิทธิและเสียงของกานต์ยืนยันจุดยืน โหวตขับผู้กระทำออกจากพรรคทั้งสองกรณี โดยคำนึงถึงความถูกต้องและความยุติธรรมต่อเหยื่อ หลายฝ่ายอาจเห็นว่าสิ่งนี้เป็นมาตรฐานที่สูง หากแต่เป็นเพียงมาตรฐานที่บุคคลทั่วไปกระทำกัน และเป็นมาตรฐานที่พรรคก้าวไกลควรไปให้ถึง
    
 กานต์รู้สึกผิดหวังอย่างมากต่อมติที่ออกมา แต่ในขณะเดียวกันก็ยังต้องแสดงความรับผิดชอบควบคู่กันไป เราสู้กันมาอย่างยาวนาน และจากสิ่งที่เกิดขึ้น เราก็ยังคงต้องสู้กันต่อไป เหยื่อจะได้รับความเป็นธรรมหรือไม่ ดิฉันขอเรียกร้องให้ผู้กระทำรับผิดชอบในสิ่งที่ทำลงไปอย่างถึงที่สุด
    
 ถึงแม้เสียงโหวตจะไม่ถึง 3ใน4 ตามรัฐธรรมนูญ แต่ในทางพฤตินัยก็มีเสียงกว่า 100 เสียงโหวตให้ขับออก ขอเน้นย้ำให้ผู้กระทำว่าเรื่องนี้ยอมรับไม่ได้และโหวตขับคุณออก ดังนั้น จึงขอให้ผู้กระทำใช้สามัญสำนึกและความละอายใจพิจารณาอีกครั้งว่า ควรลาออกด้วยตัวเองหรือไม่ อย่าเป็นคนขี้ขลาดที่หลบอยู่เบื้องหลังตัวเลขที่ตนสามารถใช้เอาตัวรอด การแสดงความรับผิดชอบในฐานะที่เป็นผู้แทน "คน" เป็นสิ่งที่ต้องทำ
    
 การยืนยันในหลักการเป็นเรื่องท้าทายและต้องอาศัยความกล้าหาญทางศีลธรรมอย่างมาก โดยเฉพาะในช่วงเวลาเช่นนี้ ขอเป็นกำลังใจให้ สส.ที่มีความกล้าหาญแสดงจุดยืนและยืนยันความถูกต้อง วันนี้เราอาจผิดหวัง แต่ก็ขอให้สู้ต่อไปอย่างไม่ย่อท้อ และซื่อตรงต่อจุดยืนของเราค่ะ
    
 ด้าน ไอซ์ รักชนก หรือน.ส.รักชนก ศรีนอก ส.ส.กทม. พรรคก้าวไกล โพสต์ข้อความบนเฟซบุ๊กกล่าวถึงกรณีส.ส.คุกคามทางเพศ ว่า ตัวไอซ์โหวตให้ขับออกทั้งสองกรณีค่ะ ไอซ์ชอบเรื่องที่ไอติม พริษฐ์ วัชรสินธุ (ขออภัยที่เอ่ยนาม)ได้ยกตัวอย่างในที่ประชุม คือเรื่องส.ส.ญี่ปุ่น ที่ยังอยู่ในอาการมึนเมาแล้วไปอภิปรายในสภา พอมีคนทักท้วงเรื่องนี้ โดยไม่ต้องรอให้ใครมาสืบสวนสอบสวนหรือรอให้เรื่องเข้าสู่การพิจารณา ส.ส.ท่านนั้นรู้อยู่แก่ใจตัวเองว่าผิด จึงรับผิดชอบด้วยการลาออก นี่คือมาตรฐานเรื่องความรับผิดชอบต่อสังคมของส.ส. ท่านนั้น
    
 เช่นเดียวกับกรณีก่อนหน้านี้ อดีต ส.ส.ณธีภัสร์ กุลเศรษฐสิทธิ์ เมาแล้วขับ หลังถูกจับ ประกาศลาออกทันทีเพื่อรับผิดชอบต่อสังคม ไอซ์ขอนับถือใจพี่เต้อเลยจริงๆ ทั้งๆ สามารถใช้หลายๆ วิธีที่จัดการเรื่องได้ แต่พี่ก็เลือกที่จะลาออก เพื่อยืดอกแสดงความรับผิดชอบต่อสังคม สร้างมาตรฐานไว้สูงลิ่ว น่ายกย่องอย่างยิ่ง
    
 ซึ่งในวันนี้น่าผิดหวังที่มาตรฐานในการรับผิดชอบต่อสังคมในการปฏิบัติหน้าที่ ส.ส. ของเพื่อนสมาชิกที่กระทำผิดในกรณีอื่นๆ ยังไม่สูงเท่าพี่เต้อ แม้มีการพูดคุยเพื่อชี้แจงรายละเอียด ก็ยังไม่สามารถคิดได้และที่ร้ายแรงยิ่งกว่านั้นคือยังไม่ยอมรับในความผิดของตนเลยด้วยซ้ำไป ประกาศกับสาธารณะชนได้หน้าตาเฉย
     
แต่ไอซ์ยังพออุ่นใจในอนาคตทิศทางของพรรคได้อยู่บ้าง เพราะกรรมการบริหารยังมีมติเอกฉันท์ ให้ขับออก อย่างน้อยทิศทางเรื่องนี้ต่อสังคมกรรมการบริหารพรรคก็ชัดเจน เป็นธรรมกับสังคม (ขอไม่ใช้คำว่าเป็นธรรมกับทุกฝ่ายนะ บางฝ่ายที่มาเรียกร้องความเป็นธรรม เอาอะไรมาเรียกร้องก่อน หน้าด้าน) และ ไอซ์ดีใจจริงๆที่ได้รับรู้ได้ว่าสามารถไว้วางใจพี่ต๋อมในฐานะหัวหน้าพรรคก้าวไกลได้อย่างเต็มที่ ทัศนคติเรื่องการคุกคามทางเพศของพี่ต๋อมชัดเจน มาตรฐานสูงมาก ไม่มีกลิ่นอายของสิ่งที่ชาวเนตเค้าเรียกว่าความ ชายแทร่ อย่างน้อยอนาคตของพรรคในเรื่องแบบนี้ก็ยังไว้วางใจอะไรไว้กับกรรมการบริหารได้
    
 ถึงแม้ผิดหวังในมติ แต่ไอซ์ก็พยายามอย่างถึงที่สุดเท่าที่คนๆนึงจะสามารถพยายามได้ ที่จะเข้าใจ ว่าทุกคนมีเหตุผลของตัวเองและไม่ว่าเกิดอะไรขึ้น ทุกคนต้องรับผลร่วมกัน

ในที่ประชุมหารือ ได้มีข้อตกลงกันว่าในกรณีที่มีมติไม่ขับ จะต้องให้ผู้กระทำสำนึกผิด ขอโทษสังคม ขอโทษต่อเหยื่อและเยียวยาเหยื่อ ไอซ์ก็ขอตั้งตารอดู ว่าคำขอโทษจะออกมาจากใจจริงๆหรือจะเป็นแค่การแสดงอีกฉาก ที่ทำเพื่อให้รอดตัวไป และระหว่างที่รอผู้กระทำผิดแสดงความรับผิดชอบต่อสังคมและเหยื่อ (เรียกว่าแสดงความรับผิดชอบได้ไหมนะ)ไอซ์จะขอหยุดร่วมกิจกรรมกับพรรค หยุดร่วมกิจกรรมกับเพื่อนสมาชิกในพรรค กิจการในโควต้าและขอลาป่วย เพื่อรักษาอาการบาดเจ็บในหลักการ จนกว่าจะมีการแถลงรับผิดและขอโทษเหยื่อ อย่างจริงใจของผู้กระทำ


นายวุฒิพงศ์ ทองเหลา ส.ส.ปราจีนบุรี พรรคก้าวไกล เปิดใจต่อสื่อมวลชนครั้งแรก หลังเกิดกรณีร้องเรียนคุกคามทางเพศ ผ่านไปแล้ว 20 วัน และมติพรรคขับออกจากการเป็นสมาชิกพรรค ว่า ตอนนี้กระบวนการของพรรคสิ้นสุดลง และเห็นปฏิกิริยาของคนภายในพรรค โดยกระบวนการหลังจากนี้จะเข้าสู่การพิสูจน์ความจริง เพราะที่ผ่านมาได้รับความเสียหายทั้งโดยส่วนตัวและครอบครัว พร้อมออกตัวว่า ไม่ใช่นักการเมืองที่จะแถลงเก่ง และเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ยังไม่เคยได้ชี้แจงต่อสังคม รู้สึกอึดอัดมาโดยตลอด เพราะกระบวนการของพรรคยังไม่สิ้นสุด
    
 นายวุฒิพงศ์ ยังชี้แจงไทม์ไลน์เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นว่า เป็นเรื่องที่ไม่ได้ซับซ้อน เรื่องของ sexual-harassment ซึ่งมีหลายระดับการแสดงออก พร้อมกับอ้างอิงกรณีที่เกิดขึ้นภายในพรรคก่อนหน้านี้ ก็ได้รับบทลงโทษความรุนแรงระดับปานกลาง แต่เคสของตนเองนั้น รู้สึกผิดหวัง มีมติรุนแรงที่สุด ซึ่งกระบวนการทางคดีความภายนอก หรือกระบวนการยุติธรรม-ตำรวจ เรื่องจะต้องเกิดภายใน 3 เดือน โดยเรื่องความผิดของส.ส. จะต้องเข้ามาเป็นส.ส. ก่อน แล้วกระทำความผิด แต่กรณีผู้ร้องเรียนเป็นเอกสารกระดาษ 200 หน้า ที่อ้างถึงเหตุการณ์กระทำผิดตั้งแต่ช่วงปี 2565 ก่อนที่จะเข้ามาเป็น ส.ส.
    
 นายวุฒิพงศ์ กล่าวยอมรับว่า ตอบยากเมื่อถามถึงกระบวนการสอบสวนของพรรคที่รู้สึกอึดอัด เพราะยังมีกรณีที่เกี่ยวข้องกับการทุจริตในจังหวัด แต่มีการเพิกเฉย โดยเรื่องการคุกคามทางเพศถูกแทรกขึ้นมา พร้อมชี้แจงว่านับแต่มีการปรากฏข้อมูลในโซเชียลมีเดีย 9 ต.ค.ที่ผ่านมา ได้เข้าสู่กระบวนการสอบสวนของคณะกรรมการวินัยของพรรคในวันที่ 10 ต.ค.
    
 โดยผู้เสียหายได้เข้าให้การต่อพรรคก้าวไกลก่อนวันที่ 9 ต.ค. พร้อมกับตั้งข้อสังเกตว่า ผู้เสียหายมีเจตนาที่จะปล่อยข้อมูลก่อนที่จะเข้าสู่กระบวนการของพรรค และตั้งข้อสังเกตว่าการแถลงของกรรมการบริหารพรรคบางคนล่วงหน้าเข้าข่ายเป็นการชี้นำสังคมหรือไม่ และการแถลงก่อนที่จะมีการตัดสิน จึงถามความเป็นธรรมในสิ่งที่เกิดขึ้นว่าทำด้วยเหตุผลอะไร ทั้งนี้ยอมรับมติ สส. ของพรรคทุกคนโหวต มองเป็นเรื่องที่ดีที่จะได้เดินหน้าต่อ
     
  ยอมรับเคารพการตัดสินใจ แต่ไม่ขอวิพากษ์ว่ากระบวนการเป็นธรรมหรือไม่ โดยกระบวนการสอบครั้งแรกวันที่ 10 ต.ค. กรรมการสอบวินัยมี 7 คน แต่มา 6 คน ได้พูดคุยอยู่กว่า 1 ชั่วโมง จากนั้น อีกครั้งหนึ่งวันที่ 30 ต.ค. เข้าสู่กระบวนการของกรรมการวินัยครั้งที่ 2 ได้เข้าห้องประชุมของกรรมการล่าช้า 1 ชั่วโมง จากนัด 10.00 น. ได้เข้า 11.00 น. ซึ่งกรรมการคนสุดท้าย จาก 7 คนเหลือเพียง 4 คน จึงรู้สึกข้อมูลที่ให้ต่อกรรมการไม่มีความสำคัญ และก่อนที่จะยุติการสอบสวนมีกรรมการคนที่ 5 เข้ามา ซึ่งความสำคัญระดับนี้ของผู้แทนราษฎรของคนทั้งจ.ปราจีนบุรี ไม่ใช่เรื่องล้อเล่น แต่เกิดเหตุการณ์นี้ขึ้นในกระบวนการ ในการตั้งคณะกรรมการวินัยสอบ ควรจะเป็นกรรมการที่เป็นแพทย์หรือเป็นจิตแพทย์ทางด้านนี้โดยตรง หรือเป็นเจ้าหน้าที่ที่มีประสบการณ์ด้านนี้โดยตรงว่า ผู้ที่ถูกคุกคาม มีความรู้สึกที่ถูกคุกคามจริงหรือไม่ ซึ่งคณะกรรมการวินัยในการสอบไม่มีคนนอกแต่เป็น ส.ส. ทั้งหมด