สถาพร ศรีสัจจัง แม้วงสภากาแฟ (ที่มักเป็นขาเชียร์นายกฯลุงตู่) ที่เมืองใต้วงดังกล่าว จะไม่มีสมาชิกที่เป็นพระสงฆ์ (อาชีพ?)ในพระพุทธศาสนา แต่ในวงก็มีมหาบาเรียนลาพรตที่จะคอยให้อรรถาธิบายเกี่ยวกับความรู้และข้อสงสัยทางพระธรรมวินัยอยู่มิได้ขาด ครั้นเมื่อเกิด “กรณีธรรมกาย” ที่ดูท่านายกฯลุงตู่คนนั้นจะเอาจริง (ไม่เคยมีรัฐบาลที่มาจากนักการเมืองคนไหนหรือพรรคไหนเคยกล้าขยับ)ในการเข้าทลายลัทธินิกายดังกล่าว (คงทั้งเพื่อเอาบุญและเพื่อสะสางปัญหาบ้านเมืองที่คาราคาซังมานาน) ชาวสภากาแฟก็ติดตามเรื่องนี้มาโดยตลอด ทำให้สมาขิกหลายคน ที่ไม่เคยสนใจเรื่องพระพุทธศาสนามาก่อนได้เจ้าใจเพิ่มขึ้นว่า ศาสนาพุทธนั้นมีความสำคัญและผูกพันอย่างลึกซึ้งกับผู้คนและสังคมไทยมาอย่างไร ในบรรดาสมาชิกวงสภากาแฟเหล่านั้นมีบ้างเหมือนกันที่เรียนจบมาจากมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์บางเขน บางคนเหล่านั้นมีทั้งที่อดปลื้ม(อยู่ลึกๆ)ไม่ได้และมีทั้งที่แอบหวั่นๆอยู่ในใจไม่น้อยเช่นกัน ที่ได้รับรู้ข้อมูลว่า ทั้งหัววัดและรองหัวหน้าวัดพระธรรมกายผู้เก่งกาจ คือทั้งท่านธัมมชโยและท่านทัตตชีโวนั้น ที่เป็นผู้นำทางจิตวิญญาณของผู้คนเป็นจำนวนมาก(ทั้งไทยและเทศ) และยังร่ำรวยมหาศาลนั้น ทั้งคู่ก็เรียนจบมาจากมหาวิทยาลัยเดียวกับตน คือมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ บางเขน (ที่ปลื้มก็เพราะท่านทั้งคู่โด่งดัง เก่งและกล้าหาญ ฯลฯ ที่หวั่นใจก็เพราะมีแนวโน้มของความเป็นไปได้ ว่าท่านทั้งคู่อาจเป็นผู้ทำให้มหาวิทยาลัยของตนเสื่อมเสียชื่อเสียงในท้ายที่สุด) ที่หลายฝ่ายในวงแอบทึ่งกันเป็นพิเศษก็คือ ความเก่งกาจของทั้งคู่ที่สามารถใช้กองกำลังของ(สิ่งที่เรียกว่า)พระสงฆ์ และคณะ “ศิษยานุศิษย์วัด” (บางพวกเรียกคนกลุ่มนี้ว่า “สาวกลัทธิธรรมกาย” หรือ “สาวกวัดจานบิน”) ปะทะสังสันทน์อย่างซึ่งๆหน้ากับอำนาจรัฐภายใต้การนำของรัฐบาลนายกฯลุงตู่ผู้ห้าวหาญ ที่มาในนามของ “กฎหมาย” (ปรากฏรูปเป็นสิ่งที่เรียกว่าดีเอสไอ./ทหาร/ตำรวจและอื่นๆ)ได้อย่างที่ไม่เคยมีใครหรือองค์กรใดกล้าทำมาก่อน(พวกอื่นที่มีบ้าง ส่วนใหญ่ก็มักทำแบบ'อีแอบ')! บางคนถึงกับหยุดไม่อยู่ ต้องหลุดเสียงอุทานแบบวัยรุ่นปักษ์ใต้เมื่อได้นุ่งยีนส์ลีวายป้ายแดง 501 ว่า “ซู๊ดยอด...!”)                  กลับมาที่วงสภากาแฟบางวงที่ปักษ์ใต้วงนั้นอีกครั้ง แน่ละเที่ยวนี้จุดสนใจในการอภิปรายย่อมตกไปอยู่ที่ท่านมหาบาเรียนลาพรตคนนั้น!                    ขณะที่บางใครพูดถึงกรณีธรรมกายขึ้นจากหัวข้อการวิพากษ์ของท่านประสาร มฤคพิทักษ์ อดีตวุฒิสมาชิกฝีปากกล้าคนนั้น ที่บอกว่า คดีของธัมมี่..เอ้ย..ธัมมชโยนั้นสิ้นสุดไปตั้งแต่ปี พ.ศ.2542 คือเมื่อ 18 ปีก่อนที่อดีตสมเด็จพระสังฆราชองค์พระญาณสังวรทรงมีพระวินิจฉัยแล้ว ว่าพระรูปนั้นสิ้นสุดความเป็นพระแล้วด้วยเหตุหลายประการ ผู้อภิปรายดังกล่าวนั้นอ้างว่าที่คุณประสารจำแนกมีถึง 6 ประการด้วยกันทีเดียว                   ท่านมหาบาเรียนลาพรตประจำวงสภากาแฟเหมือนจะได้ช่อง จึงเปรยขึ้นว่า "เอาแค่อาบัติที่เรียกว่าโลกวัชชะ..ก็พอแล้ว...”                      ทีนี้ทุกสายตายก็พุ่งตรงมาที่มหาบาเรียนคนนั้นพร้อมกับคำตั้งถามของบางใครที่ว่า อะไรกัน..อะไรคือโลกวัชชะ...?