กลุ่มธุรกิจเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ขานรับภาครัฐอนุมัติขาย จัดตั้งกลุ่มเฉพาะกิจ ในนามสมาพันธ์สนับสนุนการดื่มที่บ้าน หรือ สสบ.ชูนโยบายดื่มอย่างรับผิดชอบ ไม่เป็นภาระให้คุณหมอ ไม่รวมกลุ่ม ไม่สร้างความรุนแรงในครอบครัว และไม่ก่อความรำคาญให้เพื่อนบ้าน ส่งสาสน์ผ่านเฟสบุ๊คแฟนเพจ สมาพันธ์สนับสนุนการดื่มที่บ้าน พร้อมกิมมิค “ยกแก้ว กระดกนิ้วก้อย” เพื่อเป็นเครื่องหมายแทนคำสัญญาร่วมกัน เพจนักวิจารณ์เครื่องดื่มและชาวเน็ตแห่แชร์เพียบ หลังการประกาศอนุญาตให้จำหน่ายสุราและเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในวันนี้ พบว่าช่วง 11.00 – 14.00 น. ที่เริ่มมีการอนุญาตขายรอบแรก มีประชาชนต่างพากันซื้อเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ประเภทต่างๆเป็นจำนวนมาก ทาง 7 องค์กรตัวแทนเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ นำโดยชมรมผู้นำเข้าและตัวแทนจำหน่ายคราฟท์เบียร์ ชมรมผู้ประกอบการร้านคราฟท์เบียร์ จึงมีมติเห็นควรให้จัดตั้งสมาพันธ์สนับสนุนการดื่มที่บ้าน ในชื่อย่อ สสบ. ภายใต้โลโก้ คนชูแก้วใต้ชายคา เพื่อสนับสนุนการทำงานของ สสส ตามแคมเปญ #สัญญาว่าจะอยู่บ้าน โดยทางกลุ่มถือเป็นกระบอกเสียงจากคนที่เข้าใจความหวังดีของภาครัฐและเข้าใจสิทธิและเสรีภาพของผู้ดื่ม จึงต้องการสื่อสารผ่านภาษาของคนหัวอกเดียวกัน โดยคาดว่าจะได้รับความร่วมมือจากภาครัฐ สื่อมวลชน และภาคประชาชน ในการรณรงค์แคมเปญที่สร้างสรรค์นี้ นายอาชิระวัสส์ วรรณศรีสวัสดิ์ ตัวแทนจากชมรมผู้นำเข้าและจำหน่ายคราฟท์เบียร์ กล่าวถึงวัตถุประสงค์ของสมาพันธ์สนับสนุนการดื่มที่บ้าน หรือ สสบ.ว่า วัตถุประสงค์ของสมาพันธ์สนับสนุนการดื่มที่บ้านคือ การรณรงค์สร้างทัศนคติในการดื่มอย่างมีสติและความรับผิดชอบ ดื่มเพื่อความสุนทรีย์มากกว่าเพื่อเมา ซึ่งเป็นการรณรงค์ที่ต่างจากที่เคยมีมาตลอด เราจะชูนโยบายการดื่มที่ไม่สร้างปัญหากับสังคมหรือสร้างความเสี่ยงให้กับบุคคลอื่นในสังคม โดยแคมเปญที่ทำจะมุ่งเน้นให้กลุ่มผู้ดื่มต้องรับผิดชอบตัวเองและรับผิดชอบต่อสังคม หากผู้ดื่มให้ความร่วมมือกับแคมเปญจนส่งผลให้เห็นถึงความแตกต่างในเชิงสถิติแบบวัดผลได้แล้วเชื่อว่าจะสามารถสร้างความเชื่อใจและการให้เกียรติ รวมถึงการเคารพสิทธิซึ่งกันและกันต่อกลุ่มคนที่คิดต่าง หรือคนที่ต่อต้านการดื่มได้ “ทางกลุ่มคาดหวังว่าอยากให้สังคมรับรู้การมีอยู่ของกลุ่มคนดื่มที่ไม่ได้ก่อปัญหาให้สังคม ซึ่งที่ผ่านมาแม้จะถูกตราหน้าเหมารวมว่าเป็นคนบาปแต่ก็อยากให้ทุกคนให้เกียรติกันและมองถึงสิทธิและเสรีภาพเฉพาะบุคคล เพราะในขณะเดียวกันหากมองในแง่เศรษฐกิจ ภาครัฐได้เงินนำส่งภาษีจากภาคธุรกิจนี้ไปปีละกว่าหลายแสนล้านบาท” ทั้งนี้ในฝั่งตัวเลขของผู้ประกอบการรายย่อย ซึ่งเป็นกลุ่มร้านอาหารกึ่งผับ บาร์ พบว่า มีการกลับมาเปิดอย่างไม่เต็มรูปแบบ ประมาณ 45% ของร้านที่หยุดกิจการในช่วงที่ผ่านมา โดยเริ่มระบายสินค้าที่เป็นเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในวันนี้นายนิติพันธุ์ ครุธทิน ตัวแทนจากชมรมผู้ประกอบการร้านคราฟท์เบียร์ กล่าวถึงตัวเลขการกลับมาเปิดกิจการ ของผู้ประกอบการร้านคราฟท์เบียร์ว่า “จากการได้สอบถามกันเองในชมรมผู้ประกอบการร้านคราฟท์เบียร์ ที่มีสมาชิกรวมกันประมาณ 600 ร้าน จากทั่วประเทศพบว่า มีการกลับมาเปิดแบบเต็มรูปแบบ โดยดำเนินการตามนโยบายภาครัฐคือ ให้นั่งห่างกัน 1.5 เมตร เสริฟอาหารของใครของมัน ไม่ขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์แบบดื่มที่ร้าน แต่ให้ซื้อกลับบ้านได้ จำนวน 5% และมีการเปิดกิจการขายเฉพาะเครื่องดื่มเพื่อระบายสต็อคคงค้าง จำนวน 40% โดยยังมีอีกกว่า 55% ที่ยังรอความชัดเจนเพิ่มเติม เนื่องจากการกลับมาเปิดแต่ละครั้งมีต้นทุนสูง ทั้งการสต็อควัตถุดิบของสด หรือการจำหน่ายอาหารที่ต้องนั่งห่างกันตามที่รัฐกำหนด ซึ่งส่วนใหญ่ยังมองว่าอาจจะไม่คุ้ม จึงยังต้องวางแผนและรอดูทิศทางการกลับมาของกลุ่มลูกค้าด้วยเช่น ทั้งนี้สมาพันธ์สนับสนุนการดื่มที่บ้านได้ขอความร่วมมือไปยังผู้ประกอบการร้านอาหารกึ่งผับบาร์ ในการติดแฮชแท็ก #สัญญานะว่าจะดื่มที่บ้าน และในส่วนของภาคประชาชนได้รับความร่วมมือจากเพจนักวิจารณ์แอลกอฮอล์ต่างๆช่วยแชร์แฮชแท็ก #สัญญาว่าจะดื่มที่บ้าน โดยใช้กิมมิค “ยกแก้ว กระดกนิ้วก้อย” เสมือนเป็นพันธะสัญญาร่วมกันของผู้จำหน่ายและผู้บริโภค ในการจะให้ความมร่วมมือกับการทำงานของภาครัฐอย่างเต็มที่ “เราต้องขอขอบคุณภาครัฐ และสื่อมวลชนที่ฟังเสียงผู้ประกอบการธุรกิจเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ และลบภาพการเป็นผู้ร้ายในสังคม ซึ่งทางชมรมได้วางแผนที่จะขับเคลื่อนและรณรงค์แคมเปญอื่นๆเพิ่มเติม ภายใต้นโยบาย “การดื่มอย่างรับผิดชอบต่อตนเองและสังคม” และจะมีการปลูกฝังเรื่องเมาไม่ขับ ไม่ใช้ความรุนแรง ไม่สร้างความรำคาญ รับผิดชอบชีวิตตนเองเพื่อคุณภาพชีวิตที่ดี และรับผิดชอบต่อสังคม โดยเราหวังว่าภาษาเดียวกันที่เราคุยกันกับนักดื่ม จะสร้างความร่วมมือให้เกิดขึ้น และเป็นทิศทางใหม่ๆในการทำแคมเปญร่วมกับภาครัฐในอนาคต”