กมธ.พรรคการเมืองเพิ่มทุนประเดิมจัดตั้งพรรคจาก 1 ล้านบาท เป็น 1.5 ล้านบาท เปลี่ยนเกณฑ์ส่งผู้สมัครเลือกตั้งเป็นระบบไพรมารีโหวต ให้สมาชิกพรรคมีส่วนร่วมคัดเลือก เมื่อเวลา 15.00 น. วันที่ 1 มิ.ย. ที่ผ่านมา ที่รัฐสภา นายวัลลภ ตังคณานุรักษ์ โฆษกคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง กล่าวถึงความคืบหน้าการพิจารณาร่างพ.ร.บ.ฉบับดังกล่าวว่า กมธ.ได้ลงมติโหวตในมาตราสำคัญๆ 3-4 มาตราคือ กรณีทุนประเดิมจัดตั้งพรรคการเมือง ที่ตามคณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ (กรธ.)กำหนดไว้ที่ 1 ล้านบาท แต่กมธ.พิจารณาแล้วเห็นว่า ควรแก้ไขเป็นให้กกต.เป็นผู้กำหนด โดยยึดจากตัวเลขค่าใช้จ่ายการเลือกตั้งส.ส.ของแต่ละคนในครั้งที่ผ่านมาคือ 1.5 ล้านบาท ดังนั้นทุนประเดิมในการจัดตั้งพรรคการเมืองจึงขยับจาก 1 ล้านบาท เป็น 1.5 ล้านบาท อย่างไรก็ตามการจ่ายทุนประเดิมพรรคไม่จำเป็นต้องนำมาจ่ายในวันจัดตั้งพรรคการเมือง สามารถนำมาจ่ายในวันที่ส่งผู้สมัครลงเลือกตั้งได้ หากไม่ส่งผู้สมัครก็ไม่ต้องจ่าย แต่ถ้าพรรคใดไม่จ่ายทุนประเดิมจะไม่มีสิทธิได้รับเงินสนับสนุนจากกองทุนพัฒนาพรรคการเมืองของกกต. เหตุผลที่เพิ่มทุนประเดิมจัดตั้งพรรค เนื่องจากกมธ. เห็นแตกต่างกันในเรื่องทุนประเดิม จึงให้กกต.เป็นผู้กำหนด โดยยึดจากการใช้จ่ายการเลือกตั้งส.ส.ครั้งที่ผ่านมา โดยกมธ.ส่วนใหญ่เห็นด้วย ยกเว้นกมธ.ที่เป็นตัวแทนจากกรธ. และตนที่อยากให้คงทุนประเดิมไว้ที่ 1 ล้านบาทเช่นเดิม นอกจากนี้ในตำแหน่งกรรมการบริหารพรรคที่กรธ.ตัดตำแหน่งเลขาธิการพรรคไม่เป็นกรรมการบริหารพรรคนั้น แต่กมธ.เห็นว่า ควรให้เลขาธิการพรรคเป็นกรรมการบริหารพรรคเช่นเดิม นายวัลลภกล่าวว่า หากที่ประชุมสนช.ลงมติเห็นด้วยกับเนื้อหาตามที่กมธ.เสนอมา และถ้ากรธ.ไม่เห็นด้วยกับร่างที่สนช.ลงมติไป ก็ต้องตั้งกมธ.ร่วม 11 คนประกอบด้วยกรธ. 5 คน สนช. 5คน ประธานศาลรัฐธรรมนูญหรือประธานองค์กรอิสระ 1 คน มาพิจารณาแก้ไขร่างกฎหมายร่วมกันแล้วส่งไปให้สนช.พิจารณา หากสนช.ยืนยันด้วยมติ 2 ใน3 ไม่เห็นด้วยกับร่างที่แก้ไขใหม่ ถือว่า ร่างกฎหมายดังกล่าวตกไป นายแสวง บุญมี รองเลขาธิการกกต. กล่าวว่า ส่วนประเด็นค่าสมาชิกพรรคนั้น กมธ.ให้คงตามร่างที่กรธ.เสนอมาคือ ให้สมาชิกพรรคเสียค่าบำรุงพรรคปีละไม่เกิน 100 บาท อย่างไรก็ตามมีบทเฉพาะกาลยกเว้นปีแรกให้จัดเก็บไม่น้อยกว่า 50 บาท และปีต่อไปจึงขยับเพิ่มเป็นไม่เกิน 100 บาท ขณะเดียวกันกมธ.ยังมีมติให้แก้ไขเรื่องการส่งผู้สมัครรับเลือกส.ส.ทั้งระบบส.ส.เขตและบัญชีรายชื่อ จากเดิมที่กำหนดให้กรรมการบริหารพรรคเป็นผู้คัดเลือกผู้สมัคร แก้ไขเป็นดังนี้ ในกรณีผู้สมัครส.ส.เขต จะให้พรรคประกาศรับสมัครผู้สมัครส.ส.จากนั้นจะส่งรายชื่อผู้สมัครไปให้สาขาพรรคหรือตัวแทนจังหวัดเป็นผู้พิจารณาว่า จะให้ใครเป็นผู้สมัคร โดยเลือกมาเขตละ 2 คน เพื่อส่งรายชื่อกลับมาให้กรรมการบริหารพรรคพิจารณา ถ้าหากไม่เลือกผู้ที่ได้รับคะแนนลำดับ 1 ต้องให้เหตุผลว่าเพราะอะไร หากไม่เลือกทั้งสองคน ให้ส่งเรื่องกลับไปที่สาขาพรรคเพื่อคัดเลือกผู้สมัครใหม่ ส่วนการคัดเลือกผู้สมัครส.ส.บัญชีรายชื่อ 150 คน กำหนดให้คณะกรรมการสรรหาแต่ละพรรคจัดทำบัญชีรายชื่อผู้สมัคร 150 คน โดยให้หัวหน้าพรรคอยู่ในลำดับ 1 ส่วนลำดับที่ 2-150 ให้พรรคทำบัญชีรายชื่อและส่งไปให้สาขาพรรคหรือตัวแทนจังหวัดคัดเลือก โดยตัวแทนสาขาพรรค 1 คน สามารถเลือกได้ 15 รายชื่อ เมื่อลงคะแนนเสร็จแล้ว จึงส่งกลับมาให้กรรมการบริหารพรรคจัดลำดับตามคะแนนโหวตตามที่สาขาพรรคลงคะแนนมา