ระบุต้องนำมาเป็นค่าใช้จ่ายบริหารจัดการเดินรถ ด้วยเป็นรายได้หลัก เพราะยังไม่มีการพัฒนาพื้นที่รอบสถานีในเชิงพาณิชย์ นายภัทรุตม์ ทรรทรานนท์ ปลัดกทม. มอบหมายนายธนูชัย หุ่นนิวัฒน์ ผอ.สำนักการจราจรและขนส่ง กทม. ชี้แจงกรณีที่มีประเด็นวิจารณ์ผ่านสื่อออนไลน์หลังจากปรับราคาค่าโดยสารรถไฟฟ้าบีทีเอส โดยระบุว่าประชาชนและสื่อโซเชียลมีเดีย เริ่มวิพากษ์วิจารณ์และโพสต์ภาพตารางอัตราค่าโดยสารว่าสร้างความเข้าใจผิดต่อผู้ที่ไม่เข้าใจวิธีคิดราคา โดยสะท้อนให้เห็นว่ามีการคิดราคาในสถานีใกล้เคียงกันสูงถึง 59 บาท และวิจารณ์หน่วยงานที่เกี่ยวข้องและรัฐบาลในเชิงลบ กรณีนี้สำนักการจราจรและขนส่ง กทม. ขอเรียนข้อเท็จจริงว่า ตามที่มีการปรับราคาค่าโดยสารรถไฟฟ้าบีทีเอสในส่วนของเส้นทางสัมปทานสายสุขุมวิท ตั้งแต่สถานีหมอชิตถึงสถานีอ่อนนุช และสายสีลมตั้งแต่สถานีสะพานตากสินถึงสถานีสนามกีฬา ระยะทางรวม 23.5 กิโลเมตร ตั้งแต่ 1 ต.ค.60 นั้น เป็นไปตามสัญญาสัมปทานระหว่างกทม. กับ บริษัท ระบบขนส่งมวลชนกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) โดยได้ติดป้ายแสดงราคาค่าโดยสารบริเวณสถานีรถไฟฟ้าบีทีเอสทุกสถานี พร้อมระบุอัตราค่าโดยสารในการเดินทางไปยังสถานีแต่ละแห่งอย่างชัดเจน เพื่อแจ้งให้ผู้โดยสารทราบและสามารถชำระค่าตั๋วโดยสารได้ถูกต้อง ทั้งนี้ การคิดอัตราค่าโดยสารจะเริ่มต้นสถานีแรกที่ 16 บาท และปรับเพิ่มตามระยะทางซึ่งจะไม่เกิน 44 บาท หากโดยสารตั้งแต่ 8 สถานีขึ้นไป จะคิดอัตราเท่าเดิมคือ 44 บาท อย่างไรก็ตาม สำหรับผู้โดยสารที่เดินทางต่อเนื่องในเส้นทางส่วนต่อขยายสายสุขุมวิท จากสถานีอ่อนนุช–สถานีสำโรง และส่วนต่อขยายสายสีลม จากสถานีวงเวียนใหญ่–สถานีบางหว้า จะต้องชำระค่าโดยสารเพิ่มเติม ในส่วนของส่วนต่อขยาย ซึ่งคิดในอัตราเดียวคือ 15 บาท เมื่อรวมกันจึงเป็นราคา 59 บาท ตามที่แสดงในตารางราคาบริเวณสถานีบีทีเอส อาจทำให้เห็นว่าการคิดราคาในสถานีใกล้เคียงกันสูงถึง 59 บาท นอกจากนี้ เว็บบอร์ดPantipได้ตั้งกระทู้ข้อสังเกตถึงอัตราค่าโดยสารบีทีเอสใหม่ ว่าแพงเกินจริงหรือไม่ เมื่อเปรียบเทียบกับค่าครองชีพของคนไทย และเปรียบเทียบกับราคาในต่างประเทศ ในกรณีนี้หากเปรียบเทียบกับการจัดการเดินรถในต่างประเทศโดยส่วนใหญ่จะพัฒนาเส้นทางโดยรอบของสถานีในเชิงพาณิชย์ ซึ่งสามารถนำรายได้มาเป็นทุนบริหารและจัดการเดินรถได้ ในขณะที่ประเทศไทยยังไม่มีการพัฒนาพื้นที่เพื่อการพาณิชย์มากนัก โดยมีรายได้หลักจากการจัดเก็บค่าโดยสารและค่าโฆษณาภายในสถานี จึงจำเป็นต้องนำรายได้จากการจัดเก็บค่าโดยสารมาเป็นต้นทุนบริหารจัดการเดินรถไฟฟ้าบีทีเอส หากย้อนไปดูสัญญาสัมปทาน ระหว่างกทม. กับ บริษัท ระบบขนส่งมวลชนกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) สัญญาระบุไว้ว่าบริษัทอาจปรับค่าโดยสารที่เรียกเก็บเป็นคราวๆ ไป และสามารถปรับค่าโดยสารได้ทุก 18 เดือน แต่ต้องไม่เกินเพดานอัตราค่าโดยสารขั้นสูงสุด ซึ่งปัจจุบันอยู่ที่ 60.31 บาท โดยบริษัทมีการปรับราคาค่าโดยสารครั้งล่าสุด เมื่อวันที่ 1 มิ.ย.56 ซึ่งเป็นเวลากว่า 4 ปี แล้ว