29 ก.ค. 59 – ผู้สื่อข่าวรายงานจากกระทรวงมหาดไทยว่า นายกฤษฎา บุญราช ปลัดกระทรวงมหาดไทย ส่งหนังสือด่วนที่สุด ลงวันที่ 29 ก.ค. ถึงผู้ว่าราชการจังหวัดทั่วประเทศ ให้จัดเวทีเพื่อให้มีการแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับร่างรัฐธรรมนูญ โดยมีเนื้อหาระบุว่า กระทรวงมหาดไทยได้รับแจ้งจากสำนักนายกรัฐมนตรี และดำริของนายกฯ ที่จะมีการออกเสียงประชามติในวันที่ 7 ส.ค. 59 เพื่อให้ประชาชนเกิดความตื่นตัว และมีโอกาสรับรู้อย่างถูกต้องเกี่ยวกับเนื้อหาร่างฯ ตามพ.ร.บ.ประชามติ 2559 จึงเห็นควรให้แต่ละจังหวัดจัดเวทีเปิดโอกาสให้ประชาชนได้มีการแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับร่างฯ ให้คณะกรรมการการเลือกตั้งประจำจังหวัดเป็นผู้ดำเนินการ และให้ผู้ว่าฯเป็นผู้กำหนดจำนวน กลุ่มประชาชน ผู้มาร่วมงาน และให้การสนับสนุน ในเรื่องสถานที่ตามวัน เวลา ที่เหมาะสม ทั้งนี้ให้ดำเนินการจัดเวทีดังกล่าวก่อนวันออกเสียงประชามติ ให้สอดคล้องกับกฎหมายที่ กกต. กำหนด “ให้จังหวัดร่วมสนับสนุนช่วยเหลือ และร่วมมือกับคณะกรรมการการเลือกตั้งประจำจังหวัดดำเนินการจัดเวที ให้มีการแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับร่างฯตามดำรินายกรัฐมนตรี ให้ถือปฏิบัติตามแนวทางสนับสนุนการดำเนินงานของผู้ว่าฯในการจัดเวทีแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับร่างฯฉบับลงประชามติ และประเด็นคำถามเพิ่มเติม และแนวทางการจัดเวทีของคณะกรรมการการเลือกตั้ง” หนังสือสั่งการระบุ สำหรับแนวทางสนับสนุนการดำเนินการของผู้ว่าฯ หนังสือสั่งการ ได้ระบุว่า ในการจัดเวทีเพื่อแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับร่างฯ จะกำหนดผู้เข้าร่วมเวทีควรไม่เกิน 300 คน ด้านเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง รวมถึงเจ้าหน้าที่รักษาความสงบเรียบร้อยควรไม่เกิน 100 คน ขณะที่กลุ่มเป้าหมายในจังหวัด ให้ครอบคลุมกระจายทุกพื้นที่ หลากหลายทุกมิติ โดยกลุ่มเป้าหมายตัวอย่าง ได้แก่ 1. กลุ่มอาชีพอิสระ เช่น ตัวแทนสื่อมวลชน ภาคธุรกิจหอการค้า สภาอุตสาหกรรม ผู้ประกอบธุรกิจ รับจ้าง กรรมกร 2.กลุ่มวิชาชีพ เช่น เจ้าหน้าที่รัฐ ครู อาจารย์ ตำรวจ ทหาร แพทย์ ทนายความ 3.กลุ่มอาสาสมัคร เช่น เอ็นจีโอ อาสาสมัครรูปแบบต่างๆ สภาองค์กรชุมชน คณะกรรมการหมู่บ้าน ลูกเสือชาวบ้าน ตลอดจนสมาคมชมรมต่างๆ 4.กลุ่มผู้นำ เช่นประธานกองทุนต่างๆ กลุ่มผู้นำสตรี กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน ท้องถิ่น และ 5. กลุ่มอื่นๆ เช่น ผู้สนใจ ผู้สูงอายุ นักศึกษา เยาวชนฯลฯ ส่วนสถานที่ควรเป็นที่ที่เหมาะสมกับจำนวนกลุ่มเป้าหมาย และสะดวกต่อการรักษาความสงบเรียบร้อย โดยให้ศูนย์รักษาความสงบเรียบร้อยดำเนินการตามพ.ร.บ.ประชามติ 59 ระดับจังหวัดสนับสนุนการจัดเวทีให้ประสานงานกับกองกำลังทหารในพื้นที่ และเจ้าหน้าที่ตำรวจในการรักษาความสงบฯ ขณะที่วัน เวลา สถานที่ในการจัดเวที ให้ กกต. กรุงเทพฯ และจังหวัดประสานของความเห็นชอบจากผู้ว่าฯ หรือปลัดกทม. โดยจะต้องดำเนินการภายในวันที่ 3 ส.ค.นี้ รวมถึงใช้งบประมาณของ กกต. ในวงเงินจังหวัดละไม่เกิน 150,000 บาท รวมทั่วประเทศเป็นเงิน 11,550,000 บาท สำหรับแนวทางการรักษาความสงบเรียบร้อยให้จังหวัดหารือกับผอ.กกต.จังหวัด พิจารณาแนวทางประชุมชี้แจง เรื่องร่างฯ ประชามติ และประชาชนที่ กกต. ได้เคยจัดตั้งมาทั้ง 4 ภาค มาดำเนินการ พร้อมทั้งให้ถือปฏิบัติตามพ.ร.บ.ประชามติ 59 ประกาศ กกต. และกฎหมายที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัด ด้านนายประดิษฐ์ ยมานันท์ รองอธิบดีกรมการปกครอง ฝ่ายความมั่นคง กล่าวถึงการสร้างความเข้าใจกับประชาชนในการเผยแพร่และประชาสัมพันธ์ร่างรัฐธรรมนูญว่า จะทำประชาชนทุกคนเขาเข้าใจในร่างฯครบทุกมาตรา ยอมรับว่าไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะประชาชนมีความสนใจที่หลากหลาย แต่เชื่อว่าการดำเนินการครั้งนี้ในประเด็นที่ประชาชนสนใจจะได้รับคำตอบแน่นอน เพราะคงไม่รู้ไปทั้ง 279 มาตรา มันเป็นไปไม่ได้ จากการสอบถามบรรดาวิทยากรระดับพื้นที่ หรือครู ค. ได้รับคำตอบว่า ประชาชนมักทวงถามในเรื่องสิทธิว่ายังมีอยู่ในร่างฯหรือไม่ เมื่อได้รับคำตอบว่ามีเขาก็พอใจแล้ว ขณะที่ประเด็นเกี่ยวกับการเมืองชาวบ้านส่วนใหญ่ไม่ค่อยถาม บางทีเขาอาจจะคิดว่าใครมาก็ได้ เลือกยังไงก็ได้ แต่สิทธิยังได้ครบอยู่หรือไม่ แต่ทางกระทรวงมหาดไทยขณะนี้ได้สั่งการให้วิทยากรในระดับพื้นที่ หรือครู ค. เร่งทำความเข้าใจกับประชาชนที่ยังไม่ได้รับข้อมูลข่าวสาร หรือยังข้องใจเกี่ยวกับร่างฯในบางประเด็น ที่ส่วนใหญ่เป็นด้านสิทธิต่างๆ “ครั้งนี้มีจุดอ่อนอยู่อย่างหนึ่ง พวกเราที่มาคิดร่วมกันไปคิดว่าพี่น้องประชาชนจะใช้ช่องทางด้านสื่อสารสมัยใหม่ คนที่คิดอาจอยู่ในบ้านเมืองที่มีความเจริญ คือไปโหลดรัฐธรรมนูญมาอ่านเอง ไม่มีพิมพ์แจก ทำให้มีประชาชนบางส่วนเข้าใจผิดยังรอร่างฯส่งมาที่บ้านอยู่ หลายคนโทรมาหาผมว่าเมื่อไหร่จะส่งร่างฯถึงบ้าน ทำให้เราอาจพลาดอีกจุด ไม่ได้ประชาสัมพันธ์ว่าครั้งนี้ไม่มีการแจกร่างฯ แต่จะใช้โอกาสนี้ที่ประชาชนยังไม่ได้มีโอกาสโหลดร่างฯ หรือห่างไกลเทคโนโลยี ให้วิทยากรพื้นที่ลงไปทำความเข้าใจ แต่ยังไงแล้วทุกคนมีความเห็นตรงกันว่าการแจกร่างฯทำให้เสียดายงบประมาณ” รองอธิบดีกรมการปกครอง กล่าว